================================================== เอกสารแนบ ========================================
========================================
การยื่นแบบคําขออนุญาตประกอบกิจการ การใช้คลื่นความถี่และเครื่องวิทยุคมนาคมในการประกอบกิจการกระจายเสียง ตามมาตรา ๒๗(๔), ๒๗(๖), ๔๑, ๔๙, ๕๑ และ ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
ที่ กสทช. ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๑.๓๐ น.
วันที่ ๒๙ ม.ค. ๒๕๕๓ ตัวแทนมูลนิธิเสียงธรรมฯ ประชุมร่วมกับ จนท. กทช. เพื่อยื่นแบบ ฉก.๑ และ ๒ พร้อมเงินค่าธรรมเนียมตามระเบียบ เป็นการขอรับใบอนุญาตให้ทำ มี ใช้ นำเข้า เครื่องวิทยุคมนาคม และตั้งสถานีวิทยุคมนาคม
วันที่ ๒๙ ม.ค. ๒๕๕๓ ตัวแทนมูลนิธิเสียงธรรมฯ ประชุมร่วมกับ เจ้าหน้าที่ กทช. เพื่อยื่นแบบ ฉก.๑ และ ๒ พร้อมเงินค่าธรรมเนียมตามระเบียบ เป็นการขอรับใบอนุญาตให้ทำ มี ใช้ นำเข้า เครื่องวิทยุคมนาคม และตั้งสถานีวิทยุคมนาคม ตามบทเฉพาะกาลของประกาศ กทช.
ข้อความในการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ กรณี กสทช. เตะถ่วงสถานภาพ “วิทยุชุมชนเชิงประเด็น” แก่มูลนิธิเสียงธรรมฯ จนเป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนเสียหาย (แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ สถานีตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี ในลำดับที่ ๒ หมายเลข ๐๖๓ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๖ เวลา ๑๐.๓๐ น. ) ข้าพเจ้าในนามผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานมูลนิธิเสียงธรรมฯ ประสงค์จะลงบันทึกประจำวันต่อเจ้าพนักงานตำรวจไว้เป็นหลักฐานตามข้อเท็จจริงต่อไปนี้ ๑. เครือข่ายวิทยุเสียงธรรมฯ ได้ก่อตั้งขึ้นและใช้คลื่นความถี่กระจายเสียงที่ยังว่างอยู่ ของแต่ละพื้นที่ในทุกภูมิภาคของประเทศ เกือบทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนมี กทช. (ปฏิบัติหน้าที่ กสช. / รักษาการ กสทช.) และก่อนมี กสทช. ซึ่งการก่อตั้งดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ และตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. ๒๕๔๓ และ ๒๕๕๓ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงฯ พ.ศ. ๒๕๕๑ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ๒. เมื่อมี กทช. (ปฏิบัติหน้าที่ กสช.) มูลนิธิเสียงธรรมฯ ก็ยอมรับและปฏิบัติตามกฎหมายโดยการเข้าแจ้งความประสงค์เป็นวิทยุภาคประชาชนในระดับชาติและได้ยื่นแบบคำขออนุญาตบริการชุมชนที่ครอบคลุมความหมายแบบกว้างในเชิงประเด็น (Issue-based Community) ด้วยมาตรฐานทางเทคนิคประเภท ๓.๓.๔ วิทยุชุมชนที่มีลักษณะเฉพาะในเชิงประเด็นซึ่งไม่มีการจำกัดขอบเขตรัศมีการกระจายเสียง โดย กทช. ก็ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวและยังออกใบอนุญาตทดลองออกอากาศแก่มูลนิธิเสียงธรรมฯ อย่างต่อเนื่องเป็นลำดับมาปรากฏตามมติ กทช. ครั้งที่ ๔๓/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ ให้ดำเนินการออกหลักเกณฑ์วิทยุภาคประชาชนที่ครอบคลุมชุมชนในเชิงประเด็น โดยได้จัดสรรงบประมาณหลายสิบล้านบาทในการดำเนินการต่อไปนี้จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทุกกรณี ๒.๑ จัดทำ Focus Group กำหนดหลักเกณฑ์วิทยุชุมชนในเชิงประเด็น เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ มีข้อสรุปที่ครบถ้วน ๒.๒ กทช. เห็นชอบตามข้อเสนอของมูลนิธิเสียงธรรมฯ ให้จัดส่งนักวิชาการจากประเทศไทยเข้าร่วมประชุม AMARC ๑๐ the Tenth World Conference of Community Radio Broadcasters ระหว่างวันที่ ๘-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ เมือง La Plata ประเทศอาร์เจนตินา (ตามมติครั้งที่ ๓๕/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓) โดยให้ส่งข้อสรุปเป็น Resource Person เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการดำเนินงานของ กสทช. ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งนักวิชาการไทยได้จัดทำรายงานผลการประชุมโดยได้ข้อสรุปที่สำคัญว่าAMARC ยอมรับในสถานภาพของวิทยุชุมชนเชิงประเด็น และยังร่วมสนับสนุนให้มีวิทยุประเภทนี้ในประเทศไทยอีกด้วย ๒.๓ จัดทำผลการศึกษาวิเคราะห์แนวทางออกใบอนุญาตวิทยุในเชิงประเด็น ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงฯ พ.ศ. ๒๕๕๑ ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จนแล้วเสร็จสมบูรณ์ (มิถุนายน ๒๕๕๔) แต่สำนักงาน กสทช. ยังจงใจปิดบังอำพรางไว้แม้จะทวงถามหลายครั้ง ๒.๔ จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ๔ ภาค ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เรื่อง วิทยุชุมชนเชิงประเด็น ซึ่งสำนักงาน กสทช. ได้เผยแพร่ผลการรับฟังแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ ๒.๕ ได้พิจารณาแนวทางออกใบอนุญาตแก่มูลนิธิเสียงธรรมฯ ตามมติครั้งที่ ๓๙/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ ซึ่ง ดร.พนา ทองมีอาคม ยอมรับถึงความผิดพลาดของ กทช. ที่กำหนดมาตรฐานทางเทคนิคโดยคำนึงถึงความหมายชุมชนในเชิงพื้นที่เท่านั้น ยังไม่มีหลักเกณฑ์ในเชิงประเด็น จึงได้กล่าวย้ำเพิ่มเติมท้ายมติ กทช. ในฐานะกรรมการกลั่นกรองด้านกิจการกระจายเสียงของ กทช. ด้วยว่า เห็นควรให้พิจารณาอย่างจริงจังในความเป็นไปได้ของการจัดหาเกณฑ์การอนุญาตให้มีวิทยุชุมชนเชิงประเด็น ๓. สำนักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณากรณีมูลนิธิเสียงธรรมฯ ปรากฏรายละเอียดตามหนังสือที่ อส ๐๐๒๔(กท) / ๒๐๘ ลงวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๓ สรุปใจความสำคัญยืนยันว่า ในระหว่างที่ยังไม่มี กสทช. สำนักงานอัยการสูงสุดทราบว่า คณะกรรมการ กทช. มีมติให้คลื่นวิทยุเสียงธรรมฯ ทดลองออกอากาศได้ชั่วคราว จนกว่าจะได้รับใบอนุญาตตามประกาศ กทช. ๔. ฝ่ายนิติบัญญัติมีมติเป็นเอกฉันท์ยอมรับข้อเสนอของมูลนิธิเสียงธรรมฯ ให้บัญญัติคำนิยาม “ชุมชน” ที่มีความหมายอย่างกว้างครอบคลุมเชิงประเด็นเพื่อความชัดเจนไม่ต้องถกเถียงและไม่ต้องตีความในภายหลัง ทั้งนี้เพื่อให้สิทธิของผู้ประกอบการภาคประชาชนมีความทัดเทียมและเสมอภาคกับผู้ประกอบการประเภทอื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นการกำหนดให้มีจุดเชื่อมโยงระหว่าง “ชุมชน” กับ “ภาคประชาชน” ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงฯ พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๕. ในเมื่อการดำเนินการตามข้อ ๒ ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว สำนักงานอัยการสูงสุดก็มีหนังสือเป็นสักขีพยานยืนยันแล้วตามข้อ ๓ ว่า ภายหลังการทดลองออกอากาศมูลนิธิเสียงธรรมฯ จะได้รับใบอนุญาต อีกทั้งฝ่ายนิติบัญญัติก็ได้บัญญัติความหมายวิทยุชุมชนในเชิงประเด็นไว้ในกฎหมายครบถ้วนทุกประการแล้วตามข้อ ๔ ดังนั้น กสทช. ย่อมสมควรต้องบังคับใช้ “ประกาศหลักเกณฑ์การอนุญาตบริการชุมชน” ที่ครอบคลุมเชิงประเด็นในทันที มิใช่การเตะถ่วงหน่วงเหนี่ยวด้วยการสร้างภาระขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและมิใช่การจงใจลิดรอนสิทธิ์แก่มูลนิธิเสียงธรรมฯ ด้วยการบังคับใช้ “ประกาศหลักเกณฑ์ทดลองประกอบกิจการฯ” ให้ลดกำลังส่ง ลดความสูงเสา และจำกัดรัศมีกระจายเสียงไว้เพียง ๒๐ กม.เท่านั้น ซึ่งส่งผลกระทบกระเทือนแก่มูลนิธิเสียงธรรมฯ ให้ต้องสูญเสียเวลาและสถานภาพ เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายอย่างร้ายแรงอยู่ในขณะนี้ สิ่งสำคัญที่สูญเสียยิ่งกว่านั้นก็คือ ประโยชน์สาธารณะที่ประชาชนและประเทศชาติเคยได้รับจากการเผยแผ่ธรรมะของมูลนิธิเสียงธรรมฯ ที่มีมายาวนานนับ ๑๐ ปี ก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วยจากการกระทำของ กสทช. ที่จงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างไม่เป็นการสมควรยิ่ง ๖. มาตรา ๕๙ (๕) แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. ๒๕๕๓ บัญญัติให้สำนักงาน กสทช. ต้องเปิดเผยผลการศึกษาวิจัยของคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามข้อ ๒.๓ แต่จนกระทั่งบัดนี้ผ่านมาแล้ว ๒ ปี กสทช. ก็ยังคงฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการปิดบังอำพรางไว้ ซึ่งแม้มูลนิธิเสียงธรรมฯ และองค์กรภาคประชาชนอื่นๆ จำนวนไม่น้อยจะพยายามทวงถามต่อ กสทช. หลายครั้ง แม้กระทั่งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ เครือข่ายประชาชนฯ ก็ยังให้โอกาสแก่ กสทช. เป็นครั้งสุดท้ายโดยมีหนังสือขอความอนุเคราะห์ให้เปิดเผยภายใน ๑๕ วัน แล้วก็ตาม กสทช. ก็ดื้อรั้นไม่ฟังเสียงประชาชน ยังจงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างเย็นชา และโดยที่ผลการศึกษาฉบับนี้ทำขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักฐานทางวิชาการสำหรับการบังคับใช้ “ประกาศหลักเกณฑ์วิทยุบริการชุมชน” ที่ครอบคลุมเชิงประเด็น ซึ่งจะทำให้มูลนิธิเสียงธรรมฯ เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตโดยชอบในทันที ดังนั้น การที่ กสทช. ปิดบังอำพรางผลงานวิชาการและไม่นำพาต่อการร่างประกาศฉบับดังกล่าวเช่นนี้ ย่อมเป็นโทษความผิดทั้งทางแพ่งและอาญาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ถือเป็นความจงใจกลั่นแกล้งมูลนิธิเสียงธรรมฯ ให้ต้องได้รับความเดือดร้อนเสียหายอย่างร้ายแรง ๗. แผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๕๙) ข้อ ๕.๑ ตัวชี้วัดข้อ ๙. กำหนดให้ กสทช. ต้องบังคับใช้ “หลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์และการส่งเสริมการใช้คลื่นความถี่ในกิจการบริการชุมชน ในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ภายใน ๒ ปี” กล่าวคือต้องมีผลบังคับใช้ภายในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งจะทำให้มูลนิธิเสียงธรรมฯ ได้รับสถานภาพทางกฎหมายที่สมบูรณ์ในไม่ช้านี้ ดังนั้น การฝ่าฝืนกฎหมายของ กสทช. ด้วยการปิดกั้นผลการศึกษาตามข้อ ๖ และการไม่มีทีท่าว่าจะร่างประกาศหลักเกณฑ์ตามข้อ ๗ พฤติการณ์อันมิชอบเหล่านี้ย่อมเป็นการบ่งชี้อย่างชัดแจ้งถึงความผิดปรกติและความไม่น่าไว้วางใจของ กสทช. ว่ายังคงจะฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายหลายข้อ และยังจะฝ่าฝืนประกาศซึ่งแม้ตนจะเป็นผู้ร่างหรือผู้บังคับใช้อย่างหาความละอายต่อบาปไม่ได้ก็ตาม การฝ่าฝืนดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อมูลนิธิเสียงธรรมฯ ให้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายที่รุนแรงหนักยิ่งขึ้นไปอีกอย่างไม่มีวันจบสิ้น และอาจไม่สามารถเยียวยาแก้ไขได้โดยง่ายอีกต่อไปหาก กสทช. ยังไม่รีบกลับเนื้อกลับตัวและตั้งใจปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ๘. ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้มูลนิธิเสียงธรรมฯ ต้องได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการจงใจกระทำผิดกฎหมายของ กสทช. หลายประการตามที่กล่าวมาข้างต้น ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องเข้าแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และจะได้ดำเนินการคดีตามคำแนะนำของคณะนักกฎหมายในโอกาสต่อไป
***************************************************
|
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|