วิทยุภาคประชาชนในประเทศไทย
วิทยุภาคประชาชน (People’s Media)หรือวิทยุชุมชน (Community Radio)ในประเทศไทยเริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงที่มีกระบวนการปฏิรูปการเมืองระหว่างปี พ.ศ.๒๕๓๙-๒๕๔๐ ภายหลังจากที่ภาครัฐและภาคธุรกิจได้ครอบครองสื่ออย่างครบวงจร ข้อมูลข่าวสารจึงถูกปกปิด และสื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ตลอดจนการสร้างกระแสทางสังคม โฆษณาชวนเชื่อ และโฆษณาขายสินค้า โดยไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีบทบาทในการทำงานวิทยุอย่างอิสระ เท่ากับเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน
เมื่อมีกระแสการปฏิรูปการเมืองภายหลังเหตุการณ์ทางการเมืองในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงทำให้เกิดแนวคิดการปฏิรูปสื่ออย่างจริงจัง นำไปสู่การกำหนดหลักการด้านสิทธิเสรีภาพด้านการสื่อสารในรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.๒๕๔๐ มาตรา ๔๐ ดังนี้
o การกำหนดให้คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ
o การกำหนดให้มีองค์กรอิสระทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม โดยการดำเนินการต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น และจัดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการสื่อมวลชนสาธารณะ
o การกำหนดหลักประกันสิทธิเสรีภาพการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายของประชาชน โดยให้มีมาตรการป้องกันการควบรวม การครองสิทธิข้ามสื่อ หรือการครอบงำสื่อมวลชน
แม้ว่าต่อมาจะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี พ.ศ.๒๕๕๐ แต่ยังคงสาระดังกล่าวไว้ในมาตรา ๔๗ เป็นที่มาของการประกาศใช้พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ พ.ศ.๒๕๔๓ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.๒๕๕๑ และประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติในวาระต่างๆ
การเปรียบเทียบวิทยุ “ภาคประชาชน” กับ “ภาครัฐ” และ “ภาคธุรกิจ”
(พิจารณาจาก พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นฯ ๒๕๔๓, พ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ๒๕๕๑ และ ประกาศ กทช. ๒๕๕๒)
|
ภาครัฐ
|
ภาคธุรกิจ
|
ภาคประชาชน (ชุมชน)
|
๑) กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
|
มีหลักประกันแน่นอน
เพราะมีบทเฉพาะกาลคุ้มครองคลื่นไว้ชัดเจน
|
ระบุชัดเจน
เปิดโอกาสภาคธุรกิจเต็มที่ในทุกระดับ
|
คลุมเครือไม่ระบุชัดเจน
ที่ระบุไว้ก็จำกัดและลิดรอนสิทธิภาคประชาชน
|
๒) พื้นที่การให้บริการ
|
พื้นที่กระจายเสียงทุกระดับ
๑. ทั่วประเทศ
๒. กลุ่มจังหวัด
๓. ภายในจังหวัด
|
พื้นที่กระจายเสียง
๑. ทั่วประเทศ
๒. กลุ่มจังหวัด
๓. ภายในจังหวัด
|
จำกัดพื้นที่กระจายเสียง
๑. ชุมชนเมืองใหญ่ (ภายใน ๓ กิโลเมตร)
๒. ชุมชนเมือง (ภายใน ๕ กิโลเมตร)
๓. ชุมชนนอกเขตเมือง(ภายใน ๑๕ กิโลเมตร)
๔. ชุมชนลักษณะเฉพาะ (ไม่ระบุชัดเจน)
|
๓) ใบอนุญาต
|
ผู้รับใบอนุญาตรายเดียวสามารถตั้งสถานีลูกข่ายได้หลายสถานีเป็นเครือข่ายครอบคลุมหลายระดับ
๑. ระดับชาติ
๒. ระดับภูมิภาค
๓. ระดับท้องถิ่น
|
ผู้รับใบอนุญาตรายเดียวสามารถตั้งสถานีลูกข่ายได้หลายสถานีเป็นเครือข่ายครอบคลุมหลายระดับ
๑. ระดับชาติ
๒. ระดับภูมิภาค
๓. ระดับท้องถิ่น
|
ไม่ระบุให้ชัดเจนว่าผู้รับใบอนุญาตรายเดียวสามารถตั้งสถานีลูกข่ายได้หรือไม่ หรือจะใช้กำลังส่งสูงได้หรือไม่หากประชาชนนอกรัศมีกระจายเสียงเกิน ๑๕ กิโลเมตรต้องการรับฟัง เสมือนว่าไม่ต้องการให้ภาคประชาชนใหญ่ขึ้นหรือเป็นเครือข่าย
|
๔) มาตรฐานทางเทคนิค
|
ใช้กำลังส่งสูง
|
ใช้กำลังส่งสูง
ตามระดับของใบอนุญาต
|
จำกัดกำลังส่ง(ต่ำมาก)
ไม่เกิน ๒๐๐ วัตต์
|
๕) ผังรายการ
|
สารประโยชน์ต่อสาธารณะ
ไม่น้อยกว่า ๗๐%
|
สารประโยชน์ต่อสาธารณะ
ไม่น้อยกว่า ๒๕ %
(ส่วนใหญ่บันเทิงหรือมอมเมาเพื่อจูงใจ)
|
สารประโยชน์ต่อชุมชน
ไม่น้อยกว่า ๗๐%
(ส่วนใหญ่เป็นสารประโยชน์)
|
๖) วัตถุประสงค์
|
เพื่อประโยชน์สาธารณะ
โดยคำนึงหน้าที่ตามกฎหมายและความจำเป็นภาครัฐ
|
ระบุความรับผิดชอบต่อสังคมไว้เพียงเล็กน้อย
(สัดส่วนสารประโยชน์จึงน้อยมาก
คำนึงผลกำไรทางธุรกิจเป็นหลัก)
|
เพื่อประโยชน์สาธารณะของชุมชนเป็นหลัก
|
๗) กลุ่มเป้าหมาย
|
ประชาชนทั่วประเทศทุกภาคส่วน
เพราะเป็นข้อมูลข่าวสารสาธารณะ
ที่ประชาชนควรรับรู้
|
ไม่ระบุให้ชัดเจน
(จึงขึ้นอยู่กับสินค้าที่สนับสนุนรายการ
และลักษณะของรายการ (Concept) เป็นหลัก)
|
ต้องสนองความต้องการที่หลากหลาย
ของชุมชน
|
๘) โฆษณา
|
ห้ามโฆษณา
|
โฆษณาได้
|
ห้ามโฆษณา
|
๙) แหล่งเงินทุน
|
งบประมาณแผ่นดิน หรือ โดยโฆษณาหรือเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับงานหรือกิจการที่ทำประโยชน์สาธารณะ
|
เงินค่าหุ้น เงินกู้ ค่าโฆษณา
(ดูเรทติ้งรายการเป็นสำคัญ
ทั้งที่อาจมีเนื้อหาที่เป็นโทษ)
|
เงินบริจาค
|
๑๐) เจ้าของ
|
มูลนิธิ สมาคม นิติบุคคล หน่วยงานของรัฐ
|
บุคคลธรรมดา นิติบุคคล
(ธุรกิจเป็นเจ้าของ)
|
กลุ่มคน มูลนิธิ สมาคม นิติบุคคล
(ประชาชนร่วมกันเป็นเจ้าของ)
|
๑๑) การบริหารจัดการสถานี
|
ข้าราชการ พนักงานของรัฐ
|
ดำเนินการโดยนักธุรกิจหรือตัวแทน
|
โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
|
๑๒) ค่าธรรมเนียม
|
ได้รับการลดหย่อน
โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน
|
ไม่เกินร้อยละ ๒ ของรายได้
|
ไม่เกินร้อยละ ๒ ของเงินบริจาค
(อาจได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อน)
|
๑๓) ตัวอย่างสถานี
|
สถานีวิทยุ
ทหาร, ตำรวจ, การศึกษา, รัฐสภา,
กรมประชาสัมพันธ์, อบจ., อบต, ฯลฯ
|
สถานีวิทยุ
อ.ส.ม.ท., ช่อง ๓, แกรมมี่, อาร์เอส,
ลูกทุ่งไทย, ลูกทุ่งเน็ตเวิร์ก ฯลฯ
|
สถานีวิทยุ
เสียงธรรมฯ, สังฆทาน, รณรงค์ต่อต้านยาเสพติด,
สิ่งแวดล้อม, ต่อต้านเอดส์ ฯลฯ
|
สรุป
|
ได้เปรียบภาคธุรกิจและภาคประชาชนแทบทุกกรณี
เนื่องจากต้องเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชนทั่วประเทศ
|
เงื่อนไขน้อยค่อนข้างอิสระ
ได้เปรียบภาคประชาชนแทบทุกกรณี
ทั้งที่รายการเน้นบันเทิงและอาจมอมเมา
|
เงื่อนไขและข้อจำกัดมาก เสมือนว่าไม่ต้องการให้ภาคประชาชนเข้มแข็งและเติบโตเป็นเครือข่าย
ทั้งที่รายการเป็นประโยชน์ต่อสังคม
|
คำนิยามของชุมชน(Community)
ที่มา
|
“ชุมชน” หมายความว่า
|
ประกาศ กทช.
|
กลุ่มประชาชนที่มีพื้นที่อาศัยในแหล่งเดียวกัน ไม่ว่าจะในเมืองหรือในชนบท และให้หมายความรวมถึงกลุ่มประชาชนที่มีความสนใจร่วมกันและอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกันหรือสื่อสารถึงกันได้ โดยมีผลประโยชน์ด้านสังคมและวัฒนธรรมเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน ทำกิจกรรมอันชอบด้วยกฎหมายและศีลธรรมร่วมกัน มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีการจัดการและการแสดงเจตนาแทนกลุ่มได้
|
พระราชกฤษฎีกา
จัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
(องค์การมหาชน)
พ.ศ. ๒๕๔๓
|
กลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตเกี่ยวพันกัน และมีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันอย่างเป็นปกติและต่อเนื่อง โดยเหตุที่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันหรือมีอาชีพเดียวกัน หรือประกอบกิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน หรือมีวัฒนธรรมความเชื่อ หรือความสนใจร่วมกัน
|
พระราชบัญญัติ
สภาองค์กรชุมชน
พ.ศ. ๒๕๕๑
|
กลุ่มประชาชนที่รวมตัวกันโดยมีผลประโยชน์และวัตถุประสงค์ร่วมกันเพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนกันหรือทำกิจกรรมอันชอบด้วยกฎหมายและศีลธรรมร่วมกันหรือดำเนินการอื่นอันเป็นประโยชน์ร่วมกันของสมาชิกมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและมีระบบบริหารจัดการและการแสดงเจตนาแทนกลุ่มได้
|
พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
(พิมพ์ครั้งที่ ๓ พ.ศ.๒๕๔๙)
|
ผู้คนจำนวนหนึ่งซึ่งมีขนบประเพณี หรือผลประโยชน์ร่วมกันในความหมายนี้ บุคคลที่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนไม่จำเป็นต้องรวมอยู่บนพื้นที่เดียวกัน อาจอยู่กันอย่างกระจัดกระจายหรือห่างไกลกันก็ได้ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ ชุมชนนักวิชาการ
|
UNDP. Changing Policy and Practice from Below: Community Experiences in Poverty Reduction. A. Krishna (ed.).
|
“ชุมชน” (Community) คือ ดินแดนแห่งการรวมตัวทางสังคมที่เป็น การสมัครใจก่อขึ้นเองโดยประชาชน ส่วนใหญ่แล้วสนับสนุนตนเองเป็นเอกเทศ จากรัฐและอยู่ในกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น ชุมชน ประกอบด้วยองค์กรต่างๆ ทั้งทางการและไม่เป็นทางการ รวมถึง กลุ่มความสนใจ (ชมรม) กลุ่มวัฒนธรรม และศาสนา สมาคมอนุรักษ์หรือพัฒนาสังคม/ กลุ่ม
|
ลักษณะของความเป็นชุมชน
อ.ปาริชาติ วลัยเสถียร แบ่งความเป็นชุมชน ๔ ลักษณะ
๑. ชุมชนหมู่บ้าน
- ชุมชนหมู่บ้านในฐานะหน่วยพื้นฐานแห่งการพึ่งตนเอง ชุมชนไม่ได้อยู่อย่างเอกเทศ
โดยไม่มีความสัมพันธ์กับหน่วยอื่น ชุมชนจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความสัมพันธ์ของผู้คนที่รู้จัก
กันอย่างใกล้ชิด มีการใช้ประโยชน์ในพื้นที่นั้นร่วมกัน และมีกิจกรรมเพื่อการดำรงชีวิต ระบบ
ความสัมพันธ์เป็นแบบครอบครัว เครือญาติ มีการแลกเปลี่ยน การพึ่งพา รวมทั้งความขัดแย้ง
- ชุมชนหมู่บ้านในฐานะหน่วยทางการปกครอง เป็นการกระจุกตัวของบ้านหลายๆ บ้าน
หรือหลายครัวเรือน ในพื้นที่แห่งหนึ่งหรือในระบบนิเวศแห่งหนึ่งและเป็นหน่วยทางสังคมที่เล็กที่สุดที่ทางราชการกำหนดให้เป็น “หมู่บ้าน“ ซึ่งมีความหมายเป็นหน่วยทางการปกครองของราชการ ในความจริงความเป็นชุมชนอาจจะไม่มีในหมู่บ้านหรือดำรงซ้อนอยู่ทั้งหมดหรือบางส่วนของหมู่บ้านก็ได้
๒. ชุมชนในฐานะขบวนการทางสังคม (Social Movement)
- เกิดจากการวิพากษ์ระบบของภาครัฐ และภาคธุรกิจเอกชน ที่มีบทบาทชี้นำ หรือครอบงำความคิดและทิศทางการพัฒนาของสังคม โดยคนส่วนใหญ่ในสังคมมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในทิศทางและกิจกรรมสาธารณะค่อนข้างน้อย จึงเกิดการเรียกร้องและหรือต้องการอุดช่องว่าง ด้วยการส่งเสริมการมีส่วนร่วม และเสริมพลังอำนาจให้กับภาคประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบาย ทิศทางการพัฒนา ในฐานะผู้กระทำ
- การรวมตัวของกลุ่มคน โดยการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางเพื่อสร้างพลังในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สาระสำคัญอยู่ที่สำนึกเชิงอุดมการณ์ และกระบวนการในการจัดการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน
- ชุมชนในฐานะขบวนการทางสังคม เป็นอุดมการณ์เชิงอำนาจ ที่เกิดจากความสำนึกของคนในสังคมต่อปัญหาสาธารณะ หรือปัญหาที่ตนเองร่วมเผชิญอยู่โดยตรง จึงรวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือองค์กร และเครือข่าย ประกอบด้วยสมาชิกที่หลากหลาย โดยสมาชิกชุมชนไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด มีคุณลักษณะที่คล้ายกันหรือมีความเป็นแบบเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องพบปะหน้าตากันโดยตรง การติดต่อสื่อสารมีหลายรูปแบบ
๓. ชุมชนแนวมนุษยนิยม
- เป็นแนวคิดของชุมชนในเชิงอุดมคติ ซึ่งมีความคิดว่า ชุมชนต้องก่อเกิดมิตรภาพ ความเอื้ออาทร ความมั่นคงและความผูกพัน มีวัฒนธรรมประเพณีของตนเอง มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(ซึ่งเชื่อว่าเกิดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว)โดยรัฐไม่ค่อยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสมาชิกของชุมชนมากนัก
- ที่มาของแนวคิดมาจากตะวันตก ที่มองว่าสังคมสมัยใหม่ ทำให้เกิดการสูญเสียความเป็นชุมชน (Sense of Community)เงื่อนไข ของสังคมสมัยใหม่ไม่สามารถตอบสนองให้ปัจเจกบุคคลเกิดความมั่นคง เพราะมีขนาดใหญ่ ซับซ้อนเป็นทางการเกินไป รัฐจะเคลื่อนไหวในนามของรัฐ เช่น สงคราม หรือการค้าระหว่างประเทศ
- ทางเลือกที่นักคิดแนวนี้เสนอ คือ เรียกร้องให้ชุมชนมีขนาดเล็ก มีโครงสร้างที่แน่นเหนียว เพราะชุมชนขนาดเล็กเท่านั้น จะช่วยฟื้นฟู สภาพความสัมพันธ์ทางสังคมให้ดีขึ้น เพราะจะรับผิดชอบต่อหน่วยที่เล็กที่สุด ชุมชนขนาดเล็กเน้นการกระทำที่เต็มไปด้วยความร่วมมือ ร่วมใจ ความรู้สึกเป็นเจ้าของ เป็นสังคมที่คนรู้จักกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม
๔.ชุมชนในรูปแบบใหม่ หรือชุมชนเสมือนจริง (Virtual Community)
- เกิดขึ้นพร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยี และปัญหาของสังคมสมัยใหม่ ที่ทวีความซับซ้อนและรุนแรงขึ้น การพิจารณาปัญหาและแนวทางแก้ปัญหา ไม่อาจจำกัดอยู่ในปริมณฑลของชุมชนที่มีอาณาเขตทางภูมิศาสตร์เล็กๆ ได้เพียงลำพัง
- ชุมชนแบบใหม่ มีลักษณะเป็นชุมชนไร้พรมแดน สมาชิกหรือผู้สนใจสามารถเข้าร่วมได้โดยไม่จำกัดแหล่งที่อยู่ ตราบที่ข่ายเทคโนโลยีทางการสื่อสารครอบคลุมถึง อาจเป็นลักษณะชุมชนทางอากาศ เช่น รายการวิทยุชุมชน ชุมชนเครือข่ายทางอินเตอร์เน็ต สมาชิกไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่เดียวกัน
- ลักษณะความเป็นชุมชนคือสายใยหรือข่าย (WEB)ของความสัมพันธ์ทางสังคมมีพลังความยึดโยง สนับสนุนเกื้อกูลกัน โดยมีข่ายทางเทคโนโลยีเป็นตัวเชื่อมโยงความสัมพันธ์และการสื่อสารของผู้คนต่างๆ โดยมีสมาชิกไม่จำกัดเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ เพศ วัย ศาสนา ฐานะทางเศรษฐกิจ ฯลฯ
ชุมชนตามแนวคิดทางสังคมวิทยา
ชุมชนตามแนวคิดทางสังคมวิทยาหมายถึงหน่วยทางสังคมและทางกายภาพ ได้แก่ ละแวกบ้าน หมู่บ้าน เมือง มหานคร George Hillery (อ้างถึงใน ปาริชาติ วลัยเสถียร,๒๕๔๓) ให้ความหมายร่วมจากคำจำกัดความของชุมชนว่าชุมชนประกอบด้วย
๑.อาณาบริเวณทางภูมิศาสตร์ (Geographical area – territorial)
๒.ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Social Interaction – Sociological)
๓.มีความผูกพัน (Common ties – psycho cultural)
อย่างไรก็ตาม มีผู้โต้แย้งวิธีการสรุปหาคำจำกัดความในแบบของ Hillery ว่าจริงๆ แล้วไม่อาจหาคำจำกัดความตายตัวมาอธิบายลักษณะของชุมชนทุกชุมชนเพราะแต่ละชุมชนจะมีความแตกต่างกันออกไป หากพยายามจะหาลักษณะร่วมแล้ว ธาตุแท้ของชุมชนบางชุมชนจะขาดหายไป จากคำจำกัดความอันเป็นคำกลางๆ นั้น (Plant, 1974 p. 9-18) ในขณะที่ Poplin (1979, p. 9-18)ได้กล่าวถึงชุมชนใน ๓ สถานะ คือ
๑.ชุมชนในฐานะหน่วยทางภูมิศาสตร์ (Community as a territorial unit)
๒.ชุมชนในฐานะหน่วยขององค์กรทางสังคม (Community as a unit of Social
Organization)
๓.ชุมชนในฐานะหน่วยทางจิตวิทยาวัฒนธรรม (Community as a psycho cultural
unit)
และได้นิยามแนวคิดและขอบเขตของชุมชนว่า ต้องประกอบลักษณะ ๕ ประการ คือ
๑.กลุ่มคนที่มาอยู่รวมกันในพื้นที่ หรือบริเวณหนึ่ง (Geo-graphic area)
๒.สมาชิกมีการติดต่อระหว่างกันทางสังคม (Social Interaction)
๓.สมาชิกมีความสัมพันธ์ต่อกันทางสังคม (Social Relationship)
๔.มีความผูกพันทางด้านจิตใจต่อระบบนิเวศ (Psycho-Ecological Relationship)
๕.มีกิจกรรมส่วนรวม เพื่อใช้ประโยชน์ (Central activities for utilization)
สรุปความเป็นชุมชน
๑.ความเป็นชุมชนไม่ได้มีความหมายตายตัว แต่มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา
๒.บรรดานักวิชาการ นักพัฒนา ฯลฯ ผู้คนที่ให้ความหมายของคำว่าชุมชน ต่างให้ความหมายที่สอดคล้องกับความรู้ ทัศนคติ และหรือผลประโยชน์ของตน
๓.การจำกัดคำนิยามของคำว่าชุมชน ในแนวใดแนวหนึ่ง ย่อมขาดความหลากหลาย หรือความไม่เข้าใจในความเป็นชุมชน
๔.ชุมชนไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญทางพื้นที่หรืออาณาบริเวณทางภูมิศาสตร์แต่ขณะเดียวกันชุมชนก็ไม่ได้อยู่อย่างเอกเทศ โดยไม่มีความสัมพันธ์กับหน่วยอื่นๆ
๕.ความเป็นชุมชนอาจเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ และความเกาะเกี่ยวกันของกลุ่มคนในระดับต่างๆ ในมิติทางวัฒนธรรม อำนาจและผลประโยชน์
๖.ความเป็นชุมชนไม่ได้หมายถึงความสัมพันธ์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่มีแต่มิตรภาพและความเอื้ออาทร ในชุมชนขนาดเล็ก หรือชุมชนตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เท่านั้น
๗.ความเป็นชุมชนอาจแทรกอยู่กับประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ชุมชนขนาดเล็ก ที่สมาชิกมีความสัมพันธ์ทางสังคมแบบส่วนตัว รู้จักช่วยเหลือกัน ในอาคารชุดโรงงานอุตสาหกรรม จนถึงความสัมพันธ์แบบเครือข่าย ประเภทต่างๆ ตลอดจนเครือข่ายทางเทคโนโลยีการสื่อสารที่เชื่อมโยงมนุษย์ ให้สามารถติดต่อกันทั่วโลก
ดังนั้นชุมชนจึงหมายรวมถึง ชุมชนเชิงพื้นที่ (Area-based Community)และชุมชนเชิงประเด็น (Issue-based Community or Community of Interests)
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|