คู่มือวิทยุชุมชน (FNS)
กาญจนา แก้วเทพ
ส่วนที่ 1 : ปรัชญา แนวคิด และหลักการของวิทยุชุมชน
1.1 ประวัติความเป็นมาของวิทยุชุมชนในต่างประเทศและในประเทศไทย
1.2 ปรัชญาและลักษณะสำคัญของวิทยุชุมชน
1.3 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิทยุชุมชนในประเทศไทย
1.4 หน้าที่/บทบาทและประโยชน์ของวิทยุชุมชน
1.5 หลักการดำเนินงานที่ดีของวิทยุชุมชน
1.5.1 โครงสร้างที่เหมาะสมของวิทยุชุมชน
1.5.2 คณะกรรมการดำเนินงาน : กระบวนการได้มาและภาระหน้าที่
1.5.3 การบริหารจัดการ
1.5.4 หลักการผลิตเนื้อหาและรูปแบบรายการ
1.6 กลไกการเสริมสร้างพลังของวิทยุชุมชน
1.6.1 การฝึกอบรมรูปแบบต่าง ๆ
1.6.2 การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน
1.6.3 การบริหารจัดการงบประมาณ
1.6.4 การติดตั้งกลไกการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
คู่มือวิทยุชุมชน
ส่วนที่ 1 : ปรัชญา แนวคิด และหลักการของวิทยุชุมชน
1.1 ประวัติความเป็นมาของวิทยุชุมชนในต่างประเทศและในไทย
1.1.1 วิทยุชุมชน คืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร
ก่อนหน้าปี พ.ศ. 2540 เมื่อเวลาเปิดวิทยุฟัง เราก็มักจะได้ยินคำประกาศว่า “ที่นี่ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย” ซึ่งเราก็จะได้รับฟังข่าว ฟังเพลง ฟังรายการสารคดีจากรายการวิทยุแบบนั้นกันอย่างเป็นปกติธรรมดา แต่หลังจากมีรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 มาประกาศใช้ ผู้ฟังบางคนในต่างจังหวัดอาจจะเคยหมุนคลื่นวิทยุไปเจอประกาศว่า “ที่นี่ รายการวิทยุชุมชนของคนโคราช” หรือ “ที่นี่วิทยุเสียงบ้านล้านนา” ฯลฯ
และผู้ฟังหลายคนอาจจะเกิดข้อกังขาในใจว่า “แล้ววิทยุชุมชนนี่มันคืออะไร มีข้อเหมือนหรือแตกต่างจากวิทยุแห่งชาติ/แห่งประเทศไทยอย่างไร” สำหรับเนื้อหาที่จะกล่าวถึงในหนังสือคู่มือวิทยุชุมชนเล่มนี้ จะช่วยไขปริศนาข้อข้องใจที่ว่า วิทยุชุมชนนั้นคืออะไร ใครเป็นคนจัด ใครเป็นคนฟัง ทั้งคนจัดและคนฟังต้องทำอะไรบ้าง มีการบริหารจัดการกันอย่างไร มีรายการอะไรให้ฟังบ้าง วิทยุชุมชนมีประโยชน์อะไร ฯลฯ
สำหรับในตอนเริ่มแรกนี้ จะขอกล่าวถึงคำขวัญสั้น ๆ เพื่อแนะนำให้รู้จัก “วิทยุชุมชน” สักเล็กน้อยว่า วิทยุชุมชนนั้น เป็น ”สื่อเพื่อประชาธิปไตย” จึงต้องมีจิตวิญญาณแบบประชาธิปไตยที่แท้จริง ดังนั้น ลักษณะสำคัญของวิทยุชุมชนจึงเป็นวิทยุโดยประชาชน ของประชาชน และเพื่อประชาชน ซึ่งหมายความว่าเป็นวิทยุที่ดำเนินงานโดยชุมชน มีชุมชนเป็นเจ้าของ และมีเนื้อหารายการที่ทำเพื่อประโยชน์ของชุมชน
สำหรับต้นกำเนิดหรือที่มาที่ไปของวิทยุชุมชน ซึ่งถือได้ว่าเป็น “วิทยุน้องใหม่” นั้น เกิดมาจากข้อจำกัดของวิทยุรุ่นพี่ที่มีมาก่อน แต่เดิมนั้น มีระบบวิทยุอยู่ 2 ระบบในสังคม คือ วิทยุสาธารณะ ที่มีรัฐเป็นทั้งเจ้าของและผู้ปฏิบัติงาน วิทยุแบบนี้มักมีเป้าหมายที่จะทำประโยชน์ให้แก่สาธารณะ และมุ่งที่จะส่งกระจายเสียงให้กว้างขวางให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่อาจรู้จักกันในนามของ “วิทยุแห่งชาติ” อีกประเภทหนึ่งคือวิทยุธุรกิจ ซึ่งเป็นวิทยุที่เอกชนอาจจะไปเช่าสถานี/เช่าเวลาจากภาครัฐ มาดำเนินธุรกิจเพื่อเป้าหมายของการแสวงหาผลกำไร และก็มุ่งส่งกระจายเสียงให้กว้างขวางเพื่อขยายตลาดเช่นเดียวกัน
วิทยุรุ่นพี่ทั้งสองประเภทนี้ เช่น วิทยุสาธารณะ ล้วนไม่สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะถิ่นเฉพาะท้องที่ของแต่ละชุมชนซึ่งมีแตกต่างหลากหลายกันไป เช่น เนื้อหารายการเกี่ยวกับปัญหาจราจรย่อมไม่มีประโยชน์สำหรับคนในจังหวัดเลย ส่วนวิทยุธุรกิจก็มิได้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การตอบสนองความต้องการของชุมชนอยู่แล้ว ดังนั้น วิทยุชุมชนจึงเกิดขึ้นมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่วิทยุที่เคยมีมาไม่สามารถจะแสดงบทบาทได้
1.1.2 ต้นกำเนิดมาจากต่างประเทศ
วิทยุชุมชนหรือที่อาจมีอีกชื่อหนึ่งว่า “วิทยุท้องถิ่น” ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นครั้งแรกโดยสถานี KPFA ในเมืองเบิร์กเล่ย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อพี พ.ศ. 2491 (อายุ 50 กว่าปีแล้ว) โดยมีกลุ่มผู้ดำเนินงานเป็นกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ผู้แสวงสันติและรักอิสระ ลักษณะสำคัญของวิทยุท้องถิ่นนี้แตกต่างจากวิทยุ 2 รูปแบบที่มีอยู่ คือ วิทยุสาธารณะ (Public radio) และวิทยุธุรกิจ (Commercial radio) ในหลายลักษณะ เช่น ส่งกระจายเสียงด้วยกำลังส่งต่ำ (ประมาณ 1 กิโลวัตต์) ครอบคลุมในพื้นที่จำกัดประมาณ 6-10 กิโลเมตร ซึ่งทำให้แตกต่างจากวิทยุสาธารณะระดับชาติ และดำเนินงานโดยไม่แสวงหากำไร (Non-commercial) ซึ่งทำให้แตกต่างไปจากวิทยุธุรกิจ เงินที่ใช้ดำเนินการส่วนใหญ่ได้มากจากสมาชิกในชุมชน หรือมาจากการบริจาคของมูลนิธิ องค์กรการกุศล และการระดมทุนของกลุ่มผู้ดำเนินงาน
นอกเหนือจากเรื่องกำลังส่ง/พื้นที่ครอบคลุม/และการไม่แสวงหาผลกำไรแล้ว ลักษณะที่สำคัญอีกประการหนึ่งของสถานีวิทยุท้องถิ่น KPFA ก็คือ ยึดหลักว่ากรรมสิทธิ์และการควบคุมวิทยุเป็นของประชาชน รวมทั้งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดบริหารจัดการและการดำเนินการ KPFA จะทำงานโดยใช้อาสาสมัครที่เป็นตัวแทนของชุมชนเป็นหลัก โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำสถานีเป็นผู้ช่วยเหลือด้านเทคนิค
จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ เพียง 1 สถานีเมื่อ 50 กว่าปีก่อน ปัจจุบันนี้วิทยุชุมชนในสหรัฐได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง จากจำนวนสถานีวิทยุ 500 แห่งทั่วประเทศ มีสถานีวิทยุชุมชนถึง 100 แห่ง และในปี พ.ศ. 2518 (เกือบ 30 ปี ต่อมา) ได้มีการจัดตั้งสหพันธ์นักวิทยุกระจายเสียงชุมชนแห่งชาติ มีสมาชิกถึง 60 สถานี
และจากสถานีวิทยุชุมชนแห่งแรกในอเมริกา ปัจจุบันนี้ แนวคิดและการดำเนินงานวิทยุชุมชนได้แผ่ขยายออกไปทั่วโลก ทั้งในทวีปยุโรป เช่น อังกฤษ เยอรมัน สวีเดน ในทวีปลาตินอเมริกา อัฟริกา รวมทั้งทวีปเอเชียของเราเอง เนื่องจากวิทยุชุมชนได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่า เป็นระบบการสื่อสารที่สามารถตอบสนองความมสนใจและความต้องการของชุมชนได้อย่างตรงจุด ตัวอย่างเช่น สถานีวิทยุชุมชนเอฟเอ็มนาพาสะ ที่เมืองฮิวะทสึดะ ประเทศญี่ปุ่น ที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุงโตเกียวไป 60 กิโลเมตร ผลจากการเปิดโอกาสให้คนในท้องถิ่นเข้ามาทำงานเป็นอาสาสมัครซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นที่แต่เดิมมองเห็นแต่เมืองหลวงเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญและทันสมัย แต่เมื่อได้เข้ามาทำงานเป็นอาสาสมัครทำรายการวิทยุ ทำให้วัยรุ่นเหล่านั้นต้องศึกษาเรื่องราวของท้องถิ่น จึงบังเกิดความเข้าใจและเห็นคุณค่าของท้องถิ่นตนเองมากยิ่งขึ้น ผลจากการที่ประชาชนในท้องถิ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในวิทยุชุมชน ทำให้คนในชุมชนได้มีส่วนเกื้อหนุนวิทยุ ช่วยเหลือชุมชน และอาสาสมัครเช่นกลุ่มวัยรุ่นก็ได้เกิดความภาคภูมิใจในตนเองด้วย
ความแพร่หลายของวิทยุชุมชนในปัจจุบัน ทำให้เกิดมีวิทยุชุมชนเกือบทุกแห่งทั่วโลก ในปี พ.ศ. 2526 (35 ปี หลังมีวิทยุชุมชนแห่งแรก) เป็นปีที่กลุ่มผู้ชื่นชอบวิทยุชุมชนได้มารวมตัวกันที่เมืองมอนเทรออล ประเทศแคนาดา และจัดตั้งองค์กรนานาชาติชื่อ AMARC ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลใด เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการเคลื่อนไหวของวิทยุชุมชน มีสมาชิกจำนวนเกือบ 30,000 คน และเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย 106 ประเทศทั่วโลก จุดมุ่งหมายของ AMARC คือให้การสนับสนุนและกระตุ้นการพัฒนาของชุมชนและวิทยุชุมชน
1.1.3 วิทยุชุมชนในประเทศไทย
(ก) ก่อนจะถึงวิทยุชุมชนแบบตัวจริงเสียงจริง
วิทยุกระจายเสียงของไทยเริ่มเปิดประวัติศาสตร์หน้าแรกเมื่อปี พ.ศ. 2470 (75 ปี มาแล้ว) โดยเริ่มต้นจากการเป็นวิทยุของรัฐที่ส่งกระจายเสียงในพื้นที่แคบ ๆ ก่อน เนื่องจากเทคโนโลยีของเครื่องส่งยังไม่ก้าวหน้า แต่ในระยะต่อมา ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้าขึ้น จึงมีการดำเนินการในลักษณะของวิทยุส่วนกลาง คือพยายามจะส่งกระจายเสียงให้ครอบคลุมพื้นที่ให้กว้างไกลที่สุด แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องรัศมีการส่งและการรับฟัง จึงได้มีการจัดตั้งสถานีวิทยุในท้องถิ่นขึ้นในที่ต่าง ๆ แต่ก็ยังคงเป็นการถ่ายทอดรายการจากส่วนกลาง พร้อมทั้งเริ่มมีการทำรายการจากท้องถิ่นเข้ามาผสมบ้าง
อีกรูปแบบหนึ่งของ “วิทยุท้องถิ่น” ในระยะเริ่มแรกของไทยคือ “วิทยุประจำถิ่น” (วปถ) ของกรมการทหารสื่อสาร กองทัพบกและ “สถานีวิทยุปชส.” (เปลี่ยนเป็น สวท.ในเวลาต่อมา) ของกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีกำลังส่งคลื่นครอบคลุมเฉพาะภูมิภาค หรือเฉพาะพื้นที่ไม่กี่จังหวัด แต่ทุกสถานีก็ยังมีหน่วยงานราชการเป็นเจ้าของและดำเนินงานโดยเจ้าหน้าที่รั ฐ ถึงแม้จะพยายามให้บริการข่าวสารหรือจัดรายการ ”เพื่อ” ประชาชนในท้องถิ่นก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นวิทยุชุมชนตามหลักสากล เนื่องจากกระบวนการคัดเลือกเนื้อหาและความเป็นเจ้าของยังไม่ได้เกิดจากความคิดริเริ่มและการบริหารจัดการของประชาชนในชุมชนโดยตรง
จากรูปแบบวิทยุของรัฐที่เรียกได้ว่าเป็น “วิทยุสาธารณะ” ในระยะต่อมาก็ได้เกิดมีวิทยุของภาคธุรกิจที่มีเป้าหมายหลักในการดำเนินงานทางวิทยุเพื่อแสวงหากำไรเป็นหลัก เช่น สถานีวิทยุขนาดเล็กในท้องถิ่นที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นหลังปี พ.ศ. 2492 นั้น ส่วนใหญ่มีบริษัทธุรกิจด้านบันเทิงหรือโฆษณาเข้ามาดำเนินการกิจการตั้งแต่การลงทุนปลูกสร้างอาคาร จัดหาเครื่องส่งอุปกรณ์ บำรุงรักษาอุปกรณ์ ขายเวลา หาโฆษณา และจัดทำรายการ หรือซื้อเวลาจากสถานีของรัฐแล้วมาขายเวลาต่อในลักษณะของโบรกเกอร์คนกลางตามระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้
จากรูปแบบวิทยุของรัฐและวิทยุธุรกิจทั้งสองแบบที่กล่าวมา ในปี พ.ศ. 2534 (เมื่อ 10 ปีที่แล้ว) คนในกรุงเทพฯก็เริ่มได้รู้จักกับโฉมหน้าใหม่ของวิทยุอีกแบบหนึ่ง ซึ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็น “วิทยุชุมชน” รูปแบบหนึ่ง คือสถานีวิทยุ จส.100 และสถานีวิทยุสวพ.91 (ปี พ.ศ. 2537) ทั้ง 2 สถานีนี้จะจัดรายการโดยมีประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นผู้รายงานสถานการณ์การจราจรให้ทราบ ซึ่งเท่ากับว่าประชาชนได้ร่วมคิด ร่วมจัด ร่วมเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ ถือว่าได้เข้าถึงสื่อและมีส่วนร่วมในการจัดรายการด้วย อย่างไรก็ดี กลุ่มคนที่เข้าถึงสื่อนั้นก็เป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่ง และในการคัดเลือกเนื้อหารายการ และกลั่นกรองออกอากาศ ยังเป็นอำนาจของผู้จัดรายการ และพนักงานของบริษัท หรือเจ้าหน้าที่สถานี ส่วนเจ้าของสถานีนั้นก็ยังเป็นกองทัพบกและกรมตำรวจ มิใช่ชุมชน
วิทยุชุมชน |
|
วิทยุธุรกิจ
|
วิทยุสาธารณะ
ของรัฐ
|
เป้าหมายไม่แสวงหากำไร
|
พื้นที่ครอบคลุมแคบ
|
ตอบสนองความต้อง การเฉพาะท้องถิ่น
|
เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน
|
ถือเอาผลประโยชน์ท้องถิ่นเป็นเป้าหมายสูงสุด
|
ต่างจาก
|
ต่างจาก
|
(ข) ถึงยุควิทยุชุมชนในไทยเสียที
ช่วงระยะเวลาของการมีวิทยุชุมชนในประเทศไทยอาจแบ่งได้เป็น 2 ช่วงใหญ่ๆ คือ “ช่วงทดลอง” และ “ช่วงของจริง”
ช่วงทดลอง ในปี พ.ศ. 2534 ได้มีการทดลองจัดทำรายการวิทยุชุมชนที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับหลักการที่กล่าวมาข้างต้นให้มากที่สุดขึ้นที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยระบบ FM ที่จังหวัดจันทบุรี โดยนายสุรินทร์ แปลงประสพโชค ข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์ที่กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ในขณะนั้น หลักการวิทยุชุมชนที่นำมาใช้คือ “การเป็นสื่อแบบประชาธิปไตย” (democratic media) และ “การสื่อสารแบบมีส่วนร่วม” (participatory communication) คือให้ประชาชนเข้าถึงสื่อได้ง่าย (accessibility) ให้ประชาชนช่วยกันคิด วางแผน กำหนดเนื้อหาการผลิตรายการร่วมกัน (participation) และให้ประชาชนเป็นเจ้าของหรือมีอำนาจการตัดสินใจในการบริหารรายการด้วยตนเอง (self-management) โดยมีนายสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จ.จันทบุรี และคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นที่ปรึกษา (ดูรายละเอียดในกรณีศึกษาวิทยุชุมชน จ.จันทบุรี)
เป้าหมายของการทดลองจัดวิทยุชุมชนผ่านรายการชื่อว่า “รายการสร้างสรรค์จันทบุรี” นั้น เพื่อตอบคำถามหลัก ๆ 4 ข้อ คือ
1. จะเป็นไปได้ไหมที่จะมีวิทยุชุมชนในสังคมไทย
2. จะต้องมีรูปแบบการบริหารจัดการวิทยุชุมชนในแบบใด
3. จะต้องมีวิธีการผลิตเนื้อหารายการของวิทยุชุมชนอย่างไร
4. ผู้ฟังจะสนใจรับฟังวิทยุชุมชนมากขึ้นหรือไม่ เพราะมูลเหตุจูงใจอันใด
หลังจากทำการทดลองส่งกระจายเสียงไปได้ 2 เดือน ผู้วิจัยก็ได้คำตอบ 4 ข้อ ดังนี้
1. มีความเป็นไปได้ที่จะจัดให้มีวิทยุชุมชนในประเทศไทย
2. การบริหารจัดการนั้นจะต้องดำเนินการในรูปของคณะกรรมการที่มีตัวแทนของชุมชน เช่น ผู้นำชุมชนและอาสาสมัครชุมชนเป็นกรรมการ ใช้รูปแบบการทำงานร่วมกันด้วยการประชุมปรึกษาหารือและแบ่งความรับผิดชอบกัน
3. การผลิตเนื้อหาให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนนั้น จะต้องมีการสำรวจความต้องการของประชาชนก่อน และต้องมีการติดตามประเมินผลหลังจากทำรายการแล้ว
4. หากมีเนื้อหาที่ตอบสนองและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในท้องถิ่น จำนวนผู้ฟังวิทยุชุมชนจะเพิ่มมากขึ้น
ช่วงของจริง ในปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีลักษณะปฏิรูปทางการเมือง และส่งเสริมประชาธิปไตยแก่ประชาชนอย่างมาก ในส่วนที่เกี่ยวกับสื่อมวลชนโดยเฉพาะสื่อประเภทที่ใช้คลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้าเช่นวิทยุนั้น สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญได้เล็งเห็นความจำเป็นที่จะให้มีการจัดสรรคลื่นความถี่อย่างเป็นธรรม ให้แก่หน่วยงานทั้งของรัฐ องค์กรเอกชน ไปจนถึงประชาชนในตำบลหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปในทุกที่ของประเทศไทย โดยมีความหวังว่า คลื่นความถี่เหล่านี้จะไม่เพียงถูกใช้เพื่อส่งข่าวสารจากรัฐไปสู่ประชาชนทางเดียวเช่นที่เคยเป็นมา แต่จะถูกนำมาใช้เพื่อให้ประชาชนส่งข่าวสารกลับมายังรัฐ และให้ประชาชนได้ส่งข่าวสารถึงกันเองในแนวระนาบ เพื่อให้ข่าวสารที่แพร่กระจายหลากหลายนี้ มีบทบาทในการช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน
หัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 นี้ คือ ข้อความในมาตรา 40 ที่ระบุเอาไว้ว่า “คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และวิทยุโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติ เพื่อประโยชน์สาธารณะ” (กล่าวคือเป็นของชาติ ไม่ใช่ของรัฐ หรือรัฐบาลอีกต่อไปแล้ว)
ข้อความในมาตราดังกล่าวเท่ากับเป็นการกรุยทางให้วิทยุชุมชนในความหมายที่แท้จริงมีโอกาสที่จะถือกำเนิดได้ในสังคมไทย และรัฐบาลในขณะนั้นได้ขานรับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วยการมอบนโยบายให้กรมประชาสัมพันธ์และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) จัดทำโครงการวิทยุชุมชนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541
ในส่วนของกรมประชาสัมพันธ์ได้รับลูกต่อจากนโยบายของรัฐด้วยการริเริ่มโครงการนำร่อง 2 โครงการประสานกันคือ โครงการนำร่องวิทยุชุมชนในจังหวัดทดลอง 19 จังหวัด และโครงการคนอปม. (การอบรมอาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้าน) โดยหวังให้อาสาสมัครดังกล่าวได้เข้ามามีส่วนร่วมในการใช้สื่อวิทยุกระจายเสียงในรูปแบบของวิทยุชุมชน
สำหรับโครงการทดลองวิทยุชุมชนใน 19 จังหวัดนั้น แต่ละจังหวัดต่างก็มีรูปแบบและวิธีดำเนินงานที่แตกต่างกันไปตามสภาพความเป็นจริงของท้องถิ่น และได้มีบทเรียนอันหลากหลายจากการทดลองดังกล่าว เนื้อหาที่จะกล่าวถึงในตอนต่อไปนี้ จึงถอดมาจากประสบการณ์การทำวิทยุชุมชนในประเทศไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมาประมาณ 4 – 5 ปีนี้ (พ.ศ. 2541 – 2545)
1.2 ปรัชญาและลักษณะสำคัญของวิทยุชุมชน
ดังที่ได้เกริ่นมาแล้วว่า ความสนใจในเรื่องวิทยุชุมชนนั้น มีความเป็นมาเบื้องหลังคือการใช้ระบบการสื่อสารระบบหนึ่งเพื่อสร้างสรรค์สังคมประชาธิปไตย แต่เมื่อจะใช้การสื่อสารสร้างสรรค์ประชาธิปไตย ตัวการสื่อสารเองก็ต้องมีประชาธิปไตยเสียก่อน เนื่องจากหลักความจริงที่ว่า “ไม่มีใครให้อะไร ในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่มีได้”
และจากประวัติศาสตร์ของระบบวิทยุกระจายเสียงของประเทศไทยที่ได้กล่าวมาข้างต้นเราก็ได้เห็นแล้วว่า วิทยุกระจายเสียงได้พัฒนามาจากขั้นตอนของการเป็น “สื่อของรัฐ/สื่อสาธารณะ/สื่อระดับชาติ” เข้ามาสู่การเป็น “สื่อธุรกิจ/สื่อเชิงพาณิชย์” และปัจจุบันก็เริ่มก้าวเข้าสู่พัฒนาการขั้นสุดท้ายคือการเป็น “สื่อชุมชน/สื่อท้องถิ่น”
เมื่อเรามุ่งหวังจะใช้วิทยุชุมชนให้เป็นเครื่องมือหรือหนทางสำคัญที่จะนำพาไปสู่สังคมประชาธิปไตย เราก็ต้องทำความรู้จักกับเครื่องมือชิ้นนี้ให้ถี่ถ้วนถ่องแท้ เสมือนการจะรู้จักใช้น้ำ/พลังน้ำให้เป็นประโยชน์ เราก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของน้ำอย่างละเอียด
วิทยุชุมชน |
โดย / ของ / เพื่อชุมชน
|
เข้าถึงง่าย
|
ประชาชนมี
ส่วนร่วม
|
บริหารจัดการโดยชุมชน
|
ทำเพื่ออะไร
|
ไม่แสวงหากำไร
ดำเนินงานโดยคณะกรรมการ
|
|
เอกลักษณ์
|
ใครเป็นคนจัด /
ใครเป็นคนฟัง
|
การบริหารจัดการ
|
|
|
เนื้อหารายการ
|
รูปแบบรายการ
|
การประเมินผลอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุง
|
ปรัชญาและลักษณะสำคัญของวิทยุชุมชน
|
เป้าหมาย
1.2.1 ปรัชญาของวิทยุชุมชน
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า ปรัชญาของวิทยุชุมชนก็คือการเลียนแบบคำขวัญของหลักการประชาธิปไตยที่ว่า เป็นวิทยุ “โดย” “ของ” “เพื่อ” ชุมชนนั่นเอง โดยในที่นี้จะขอเน้นเรื่องลำดับชั้นของคำทั้งสามว่า จะต้องเริ่มต้นที่ “โดย” เสียก่อน กล่าวคือต้องให้ประชาชนเข้ามาดำเนินงานวิทยุชุมชน ต่อจากนั้นประชาชนจึงจะเกิดความรู้สึกเป็น “เจ้าของ” และในท้ายที่สุดเนื้อหารายการของวิทยุชุมชนก็จะเป็นไป “เพื่อ” ผลประโยชน์ของชุมชน วิทยุชุมชนจึงไม่ใช่วิทยุที่มีคนอื่นไปทำเพื่อชุมชน แต่เป็นวิทยุที่ชุมชนทำเองเพื่อตนเอง
จากหลักปรัชญาของวิทยุชุมชน องค์การยูเนสโกจึงได้วางเสาหลัก 3 ต้นของวิทยุชุมชนเอาไว้ดังนี้คือ
(1) ต้องให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยง่าย (accessibility) ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงในแง่ผู้ฟัง ผู้ร่วมผลิตรายการ ผู้ให้ข้อเสนอแนะ ผู้บริหารจัดการ ฯลฯ
(2) ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในรูปแบบต่าง ๆ (participation)
(3) ต้องเป็นวิทยุที่ประชาชนมีการบริหารจัดการด้วยตนเอง (self-management) คือ แนวคิดเรื่องการบริหารจัดการ “โดย” ชุมชนที่กล่าวไปข้างต้น
(ในที่นี้จะพูดถึงเพียงคร่าว ๆ เป็นการเกริ่นนำ และจะดูรายละเอียดในหัวข้อต่อ ๆ ไป)
1.2.2 ลักษณะสำคัญของวิทยุชุมชน
จากหลักปรัชญาข้างต้นสามารถสกัดลักษณะสำคัญของวิทยุชุมชนออกมาได้เป็น 6 ลักษณะดังนี้
(1) ทำวิทยุไปเพื่ออะไรและเพื่อใครบ้าง เป็นคำถามเรื่องเป้าหมายที่คณะผู้ทำวิทยุชุมชนจะต้องปักเอาไว้เป็นธงชัยนำทาง ดังได้กล่าวมาแล้วว่าเป้าหมายสูงสุดของวิทยุชุมชนคือ ดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในท้องถิ่น เช่นถ้าคนในจังหวัดจันทบุรีทำสวนผลไม้ เนื้อหาความรู้ของวิทยุชุมชนจังหวัดจันทบุรีก็จะต้องเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการทำสวนผลไม้ ด้วยเหตุนี้ก่อนที่จะผลิตเนื้อหารายการวิทยุจะต้องมีการสำรวจความต้องการของคนในท้องถิ่นเสียก่อนเป็นอันดับแรก
และเนื่องจากในแต่ละชุมชนประกอบด้วยคนหลายกลุ่ม หลายเพศ หลายวัย หลายอาชีพ ฯลฯ ดังนั้น วิทยุชุมชนจึงต้องมีหลักประกันและมาตรการว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการของคนทุกกลุ่มได้ เช่นการมีตัวแทนของคนทุกกลุ่มเข้าไปเป็นคณะกรรมการบริหารวิทยุชุมชน หรือเป็นอาสาสมัคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มที่ด้อยโอกาสด้านการสื่อสาร/กลุ่มที่ไม่มีปากมีเสียงในพื้นที่สาธารณะของวิทยุ เช่น กลุ่มผู้หญิง กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มเด็ก ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มได้ใช้สิทธิด้านการสื่อสาร ทั้งในแง่เป็นผู้รับข่าวสารและผู้ส่งข่าวสารผ่านวิทยุชุมชน
(2) เอกลักษณ์ของวิทยุชุมชน ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าวิทยุชุมชนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างทั้งจากวิทยุสาธารณะและวิทยุธุรกิจที่เคยมีมาก่อน ในแง่ความแตกต่างจากวิทยุสาธารณะ วิทยุชุมชนจะดำเนินการโดยคณะกรรมการที่เลือกตั้งมาจากตัวแทนกลุ่มของชุมชน มิใช่การแต่งตั้งแบบราชการ ส่วนวิธีดำเนินงานจะใช้การประชุมปรึกษาหารือแทนการสั่งการ
ส่วนความแตกต่างจากวิทยุธุรกิจก็คือ แม้ว่าวิทยุชุมชนจะต้องมีการแสวงหารายได้เพื่อนำมาใช้จ่ายแต่เป้าหมายหลักของวิทยุชุมชนนั้นคือการไม่แสวงหาผลกำไรเช่นวิทยุธุรกิจ
(3) ใครเป็นคนจัด/ใครเป็นคนฟัง ในขณะที่วิทยุกระจายเสียงทั่วไปมักจะมีที่ตั้งอยู่ในเมืองแล้วมีการถ่ายทอดข่าวสารเรื่องราวจากในเมืองไปสู่ชนบทเพียงทางเดียว โดยที่ผู้จัดรายการ ผู้ดำเนินรายการจะเป็นคนในเมือง คนฟังก็จะเป็นชาวบ้านในชนบท การแบ่งแยกบทบาทระหว่างคนจัดรายการวิทยุกับคนฟังจะเป็นไปอย่างเด็ดขาด กล่าวคือ คนจัดก็ไม่เคยมาเป็นคนฟัง คนฟังก็ไม่เคยได้เข้าไปเป็นคนจัด
สำหรับภาพของวิทยุชุมชนจะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง คือ
· ทั้งฝ่ายคนจัดและคนฟังล้วนเป็นคนในชุมชนทั้งสิ้น ผู้จัดรายการ/วิทยากร/แขกรับเชิญในวิทยุอาจจะเป็นกำนันหรืออาสาสมัครหรือชาวบ้านคนใดคนหนึ่งของชุมชน
· การเล่นบทบาทเป็นคนจัดรายการและผู้ฟังจะผลัดเปลี่ยนกัน เป็นการผลัดกันพูดผลัดกันฟังที่เรียกว่าเป็นการสื่อสารแบบสองทาง (มิใช่เป็นแบบรถเดินทางเดียว)
· แม้แต่การเล่นเป็นบทบาทผู้ฟัง ชาวบ้านก็จะไม่เป็นเพียงผู้ฟังที่ฟังแล้วเงียบ ๆ เฉย ๆ แต่ผู้ฟังสามารถจะเข้าไปมีส่วนร่วมในรายการวิทยุได้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์เข้าไปในรายการขณะมีการสัมภาษณ์ เขียนจดหมายไปติชมรายการ ฯลฯ
(4) บริหารจัดการอย่างไร/แบบไหน/โดยใคร ในปัจจุบันเราอาจจะรับฟังรายการวิทยุจำนวนมากที่ใช้ชื่อว่า รายการวิทยุชุมชนบ้าง หรือเป็นรายการที่ให้บริการข่าวสารแก่ชุมชน รายการที่เปิดให้มีประชาชนร้องทุกข์เข้าไปได้ ฯลฯ ถึงแม้รายการเหล่านี้จะมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับวิทยุชุมชน แต่ก็ยังไม่ใช่ตัวจริงเสียงจริง เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ววิทยุดังกล่าวยังคงเป็นเพียงแค่วิทยุ “เพื่อ” ชุมชน แต่ยังไม่ใช่วิทยุ “โดย” ชุมชน
นี่ก็หมายความว่าหัวใจสำคัญหัวหนึ่งของการเป็นวิทยุชุมชนจะต้องมี “การบริหารจัดการโดยชุมชน” โดยมีหลักการสำคัญดังนี้
· เป็นรูปแบบบริหารจัดการโดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยบุคคลจากหลาย ๆ ฝ่าย เช่น เจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการ แต่ที่สำคัญและเป็นหลักก็คือ ตัวแทนของชุมชนที่มาจากกลุ่มบุคคลในชุมชนดังที่กล่าวมาแล้ว
· คณะกรรมการต้องมีความเป็นอิสระในการดำเนินงาน ต้องปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำของรัฐ นักการเมืองท้องถิ่น กลุ่มธุรกิจ ฯลฯ
· มีรูปแบบการดำเนินงานที่เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนในชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
· มีการทำงานที่มีการวางแผนงาน มีมาตรการดำเนินงาน มีลักษณะที่โปร่งใส สามารถเปิดให้ตรวจสอบได้ และมีหลักเกณฑ์ในการทำงานที่ชัดเจนแน่นอน
(5) เนื้อหา/รูปแบบรายการเป็นแบบไหน ลักษณะสำคัญของเนื้อหา รูปแบบรายการของวิทยุชุมชนจะเป็นมาตรวัดว่าวิทยุชุมชนนั้นได้ทำหน้าที่ตามสมญานามหรือไม่ คือ
· เป็นเนื้อหา/รูปแบบที่ตอบสนองความต้องการของชุมชนแต่ละแห่ง
· มีเนื้อหา/รูปแบบที่หลากหลาย ครอบคลุมความสนใจ ความต้องการและผลประโยชน์ของคนทุกกลุ่ม และเพื่อให้สอดรับกับสภาพความเป็นจริงของชุมชนที่มีหลากหลายมิติ เช่น เรื่องการทำมาหากิน การอยู่ร่วมกัน การปกครอง ศิลปวัฒนธรรม มรดกด้านภูมิปัญญาของชุมชน ส่งเสริมศีลธรรมศาสนา การพักผ่อนความบันเทิงและการละเล่น ประเพณีพิธีกรรม ปัญหาต่าง ๆ ของชุมชน
· เนื่องจากการสื่อสารเป็นสิทธิอย่างหนึ่งของชุมชน ดังนั้นเนื้อหา/วิธีการนำเสนอ/และรูปแบบรายการจึงควรให้สิทธิแก่ชุมชนในการดำเนินการให้สอดคล้องกับประเพณีและวัฒนธรรมหรือรสนิยมของชุมชน ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือการใช้ภาษาท้องถิ่น ดังนั้นเนื้อหาและรูปแบบรายการของวิทยุชุมชนในแต่ละที่จึงไม่จำเป็นต้องเป็นสูตรเดียวกันทั่วประเทศ
นอกจากนั้นลักษณะของเนื้อหาและรูปแบบของรายการจะต้องส่งเสริมการสื่อสารในแนวนอนคือ การสื่อสารระหว่างประชาชนกับประชาชนมากกว่าจะเป็นการสื่อสารในแนวดิ่งจากรัฐบาลสู่ประชาชนเท่านั้น
(6) มีการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง การประเมินผลมักจะเป็นจุดอ่อนของการทำงานในระบบวิทยุสาธารณะ ส่วนระบบวิทยุธุรกิจนั้นก็จะเป็นเพียงการประเมินปริมาณของผู้ฟังเพื่อการขายโฆษณาเท่านั้น
แต่การประเมินผลอย่างต่อเนื่องเป็นหัวใจห้องที่สองของการทำวิทยุชุมชนที่จำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างจะขาดเสียมิได้ เป้าหมายและแง่มุมที่จะประเมินนั้น ต้องมีหลากหลายมากกว่าการประเมินปริมาณผู้ฟังเท่านั้น โดยที่การประเมินนั้นจะเป็นทั้งการ “เหลียวไปข้างหลัง” เพื่อดูว่าเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้นั้นบรรลุหรือไม่และเป็นทั้งการ “แลไปข้างหน้า” เพื่อแสวงหาแนวทางพัฒนาวิทยุชุมชนต่อ
1.2.3 ระดับของการเป็นวิทยุชุมชน
เนื่องจากปรัชญาและลักษณะของวิทยุชุมชนที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นรูปแบบสูงสุดของวิทยุชุมชน แต่ทว่าในสภาพความเป็นจริงการเป็นวิทยุชุมชนคงต้องเริ่มไต่ระดับจากวิทยุที่กำลังมีอยู่อย่างค่อยเป็นค่อยไปทีละก้าว อาจารย์จุมพล รอดคำดี ได้นำเสนอระดับจากแบบอ่อน ๆ ไปเป็นแบบเข้มข้นของการเป็นวิทยุชุมชนดังนี้
(1) ระดับรายการ “เพื่อชุมชน” ที่มีผู้จัด/เจ้าของรายการ/เจ้าของสถานีเป็นผู้อื่น แต่จัดรายการเพื่อบริการชุมชน เช่น ประกาศของหาย ประชาสัมพันธ์งานของชุมชน ฯลฯ โดยประชาชนหรือผู้ฟังอาจจะส่งจดหมายหรือโทรศัพท์มาบอก แต่ผู้จัดรายการจะเป็นผู้เลือกเนื้อหาและพูดด้วยตนเอง วิทยุชุมชนส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในขณะนี้ของไทยจัดอยู่ในระดับนี้
(2) ระดับที่มีประชาชนเข้ามาเป็นผู้ร่วมรายการ เช่นรายการของจส.100 หรือสวพ.91 รายการร่วมด้วยช่วยกันของ INN เป็นต้น โดยทางสถานีจะเป็นผู้กำหนดกรอบให้ แล้วให้ประชาชนเป็นผู้นำเสนอเนื้อหาและพูดนำเสนอในรายการ (สภาพจราจร แจ้งของหาย เหตุร้าย) แต่สถานี/ผู้จัดรายการยังเป็นผู้ควบคุมหรือเป็นเจ้าของรายการอยู่
(3) ระดับ “รายการโดยชุมชน” ได้แก่รูปแบบที่เจ้าของสถานีแบ่งช่วงเวลารายการใดรายการหนึ่งให้ตัวแทนของประชาชนที่ได้รับเลือกขึ้นมาในรูปของ “คณะกรรมการวิทยุชุมชน” มาจัดเนื้อหาและวิธีการนำเสนอด้วยตัวเอง โดยทางสถานีจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา บรรดาโครงการนำร่องของกรมประชาสัมพันธ์จะจัดเป็นวิทยุชุมชนในระดับนี้
(4) ระดับสถานี ในระดับนี้จะอาศัยอาสาสมัครที่เป็นตัวแทนประชาชนเข้ามาปฏิบัติงานในหน้าที่ต่าง ๆ ในสถานี และบริหารรายการทั้งหมด แต่สถานียังเป็นของหน่วยงานของรัฐ
(5) ระดับชุมชนเป็นเจ้าของสถานี ในระดับนี้ ประชาชนในชุมชนจะรวมตัวกันขึ้นขอคลื่นความถี่จากรัฐ และลงทุนจัดตั้งสถานีวิทยุเป็นของชุมชน แต่ทว่าชุมชนจะแต่งตั้งคณะกรรมการวิทยุชุมชนที่อาจจะว่าจ้างพนักงาน ผู้จัดการมืออาชีพ อาสาสมัคร ให้เข้ามาดำเนินงานตามแนวนโยบายของคณะกรรมการ
(6) ระดับชุมชนเป็นเจ้าของสถานีและมีใบอนุญาตเป็นเจ้าของคลื่น ในระดับนี้ก็จะเหมือนกับระดับที่ 5 เพียงแต่การดำเนินงานของสถานีในทุกระดับจะเป็นอาสาสมัครจากชุมชนที่ได้รับการฝึกอบรมในด้านต่าง ๆ ซึ่งเท่ากับชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในวิทยุมากกว่าเพียงแค่ระดับ “เป็นเจ้าของ” (ownership) หากแต่เป็นระดับ “ปฏิบัติการ” ด้วย (operation)
การแบ่งระดับทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้เห็นภาพความก้าวหน้าของวิทยุชุมชนที่สังคมไทยควรจะพัฒนาก้าวหน้าขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น
1.3 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิทยุชุมชนในประเทศไทย
เนื่องจากวิทยุเป็นการดำเนินงานที่เกี่ยวกับกิจการสาธารณะ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเป็นการดำเนินการภายใต้กฎหมาย สำหรับวิทยุชุมชนในปัจจุบันนั้น เป็นแนวคิดที่เกิดจากการปฏิรูปทางการเมืองของไทยที่มีจุดเริ่มตั้งแต่เหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 จนกระทั่งถึงการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ในกฎหมายฉบับนี้มีมาตราที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับวิทยุชุมชนอยู่ 3 มาตราคือ มาตรา 39, 40 และ 41 และมีอีกหลายมาตราที่เกี่ยวข้องโดยทางอ้อมเช่น มาตรา 37, มาตรา 58, 59, 60
(ก) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิทยุชุมชนโดยตรง ได้แก่มาตราที่เกี่ยวกับการจัดสรรคลื่นความถี่คือ
มาตรา 40 มีข้อความสำคัญ 3 ข้อคือ
(1) คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และวิทยุโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติ เพื่อประโยชน์สาธารณะ
(2) ให้มีองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ตามวรรคหนึ่ง และกำกับดูแลการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ
(3) การดำเนินการตามวรรคสองต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติ และระดับท้องถิ่นทั้งในด้านการศึกษา วัฒนธรรม ความมั่นคงของรัฐ และประโยชน์สาธารณะอื่น รวมทั้งการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม
จากข้อความในทั้ง 3 วรรคนี้ จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดจากเดิม คือ เรื่องการเป็นเจ้าของคลื่นความถี่ ซึ่งแต่เดิม “รัฐหรือรัฐบาล” เคยเป็นเจ้าของ ในมาตรา 40 นี้ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า คลื่นความถี่นั้นเป็น “ของชาติ” ซึ่งหมายความว่าเป็นของประชาชนทุกคนนั่นเอง และยังกำหนดเป้าหมายของการใช้คลื่นความถี่เอาไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ซึ่งเราก็จะเห็นว่า ทั้งหมดนี้ก้คือเงื่อนไขเอื้ออำนวยของการถือกำเนิดของวิทยุท้องถิ่นนี่เอง
ทั้งเนื่องจากวรรค 2 ของมาตรานี้ ทำให้เกิดพระราชบัญญัติ (พรบ.) องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ (ที่รู้จักกันในนามย่อว่า กสช.) และกิจการโทรคมนาคม (หรือ กทช.) ในปี พ.ศ. 2543 ในพรบ.นี้มีมาตราที่สำคัญและชี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นคือ มาตรา 26 วรรค 4 บัญญัติไว้ว่า
“การจัดทำแผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และการอนุญาตให้ประกอบกิจการดังกล่าวต้องคำนึงถึงสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างผู้ประกอบการภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน โดยจะต้องจัดให้ภาคประชาชนได้ใช้คลื่นความถี่ไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบ” ซึ่งก็เท่ากับว่าได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าต้องกันพื้นที่เอาไว้ 20% ให้เป็นวิทยุชุมชนที่ประชาชนเป็นเจ้าของคลื่นเอง เป็นเจ้าของสถานีเอง และเข้ามาดำเนินการเอง
มาตรา 39 ซึ่งเป็นกฎหมายที่รับรองเสรีภาพในการสื่อสาร มีข้อความสำคัญ 5 วรรค คือ
(1) บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น (ในมาตรานี้หมายความว่า ประชาชนมีสิทธิทั้งจะเป็นผู้รับสารและผู้ส่งข่าวสารได้)
(2) การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงแห่งรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัวหรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคล เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน
(3) การสั่งปิดโรงพิมพ์ สถานีวิทยุกระจายเสียง หรือสถานีวิทยุโทรทัศน์ เพื่อริดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้จะกระทำไม่ได้
(4) การให้นำข่าวหรือรายงานไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจก่อนจะไปโฆษณาในหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะกระทำในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือการรบ แต่ทั้งนี้จะต้องกระทำโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายซึ่งได้ตราขึ้นตามความในวรรคสอง
(5) เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ
(6) การให้เงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นอุดหนุนหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นของเอกชน รัฐจะกระทำมิได้
มาตรา 41 เป็นกฎหมายที่รับรองเสรีภาพของพนักงาน ลูกจ้างในกิจการสื่อมวลชนของรัฐและเอกชน อันมีข้อความสำคัญดังนี้
(1) พนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นภายใต้ข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญโดยไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือเจ้าของกิจการนั้น แต่ต้องไม่ผิดจรรยาบรรณแห่งการประกอบอาชีพ
(2) ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจในกิจการวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ย่อมมีเสรีภาพเช่นเดียวกับพนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนตามวรรคหนึ่ง
(ข) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิทยุชุมชนโดยทางอ้อม
นอกเหนือจากกฎหมายทั้ง 3 มาตราที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรคลื่น เสรีภาพในการสื่อสารของประชาชนและเสรีภาพของผู้ที่ทำงานด้านการสื่อสารแล้ว ยังมีกฎหมายฉบับอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิเสรีภาพในการสื่อสารซึ่งเป็นพื้นฐานรองรับการทำงานวิทยุชุมชน อันได้แก่
มาตรา 37 ได้รับรองให้บุคคลที่มีเสรีพภาพในการสื่อสารถึงกันได้โดยทางที่ชอบด้วยกฎหมาย ในทางปฏิบัติ หมายความว่า ประชาชนมีสิทธิที่จะส่งข่าวสารเพื่อเผยแพร่ให้คนอื่น ๆ ทั้งในและนอกชุมชนได้รู้โดยผ่านวิทยุชุมชนหรือสื่อมวลชนอื่นๆ
มาตรา 58 ได้รับรองสิทธิของบุคคลในการรับทราบข้อมูล หรือข่าวสารสาธารณะของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น มาตรานี้ช่วยให้ประชาชนสามารถแสวงหาขาวสารสาธารณะที่เป็นของหน่วยราชการ เช่น งบประมาณพัฒนาตำบล แผนการสร้างสาธารณูปโภคของชุมชนได้
มาตรา 59 ได้รับรองสิทธิของบุคคลที่จะได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยราชการ ฯลฯ ก่อนการอนุญาตหรือดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้ส่วนเสียสำคัญอื่น ๆ และสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคม กฎหมายข้อนี้ ทำให้ประชาชนมีสิทธิที่จะขอให้หน่วยราชการหรือธุรกิจเอกชนต้องเปิดเผยข้อมูลแก่ชุมชนที่เรารู้จักกันในนามของ “การทำประชาพิจารณ์” ในกรณีที่จะมีการก่อสร้างท่อก๊าซ โรงงานพลังไฟฟ้านิวเคลียร์ และอื่น ๆ
มาตรา 60 ซึ่งได้รับรองสิทธิของบุคคลในการมีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติราชการทางการปกครองที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพ
1.4 บทบาทหน้าที่และประโยชน์ของวิทยุชุมชน
จากผลงานวิจัยวิทยุชุมชนที่เป็นโครงการนำร่องของกรมประชาสัมพันธ์ในเขตจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์ โดยอาจารย์วีรพงษ์ พลนิกรกิจและคณะ (2545) ซึ่งได้วิเคราะห์ตัวเนื้อหารายการ และได้พบว่า วิทยุชุมชนที่มีสถานภาพเพียงแต่ระดับรายการ (ระดับที่ 3) เท่านั้น ก็ยังสามารถแสดงบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย โดยสามารถเล่นทั้งบทบาทเดิม ๆ ที่วิทยุทั่วไปเคยแสดง และการเพิ่มเติมบทบาทใหม่ ๆที่วิทยุทั่วไปไม่สามารถจะแสดงได้
จากบทบาทที่หลากหลาย ในที่นี้จะแบ่งประเภทบทบาทโดยใช้เกณฑ์ 2 เกณฑ์คือ ทิศทางของการไหลของข่าวสาร (Information Flow) และบทบาทในการพัฒนาชุมชน
1.1.1 จากบนลงล่าง
|
1.1.2
จากล่างขึ้นบน
|
1.1
แนวดิ่ง
|
1
ทิศทางการไหลของข่าวสาร
|
1.2
แนวนอน
|
บทบาท/หน้าที่ของวิทยุชุมชน
|
2
บทบาทการพัฒนาชุมชน
|
ด้านเศรษฐกิจ
|
ด้านการเมือง
|
ด้านสังคม
|
ความปลอดภัย
|
ด้านวัฒนธรรม/ศาสนา/ประเพณี
|
1.4.1 การแสดงบทบาทของวิทยุชุมชนตามทิศทางการไหลของข่าวสาร
แบ่งได้เป็น2ทิศทางคือ
(1.1) ในแนวดิ่ง
(1.1.1)การไหลของข่าวสารจากบนลงล่าง (top-down flow) มักเป็นบทบาทเดิมที่วิทยุสาธารณะ/วิทยุส่วนกลาง/วิทยุแห่งชาติแสดงอยู่ คือ
· บทบาทเป็นเครื่องมือถ่ายทอดข่าวสารของหน่วยงานราชการไม่ว่าจะเป็นส่วนกลางหรือหน่วยงานท้องถิ่นสู่ประชาชน
· บทบาทในการแจ้งข้อมูลข่าวสารทั่วไป เช่น ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการเมือง ข่าวสังคม
· บทบาทในการให้การศึกษา/ให้ความรู้จากหน่วยงาน – สถาบันการศึกษา
· บทบาทในการเป็นเครื่องมือทางการเมืองระดับชาติ เช่น การให้ความรู้เรื่องการเลือกตั้ง
· บทบาทในการธำรงรักษาวัฒนธรรมหลักของสังคม เช่น ความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
(1.1.2.)การไหลของข่าวสารจากล่างขึ้นบน (bottom-up flow) เป็นทิศทางการไหลที่ตรงกันข้ามกับบทบาทเดิมที่วิทยุเคยแสดงอยู่ เช่น
· บทบาทในการเป็นช่องทางการร้องเรียนและสอบถามข้อมูล เช่น ที่เราอาจคุ้นเคยในรายการ “ร้องทุกข์ชาวบ้าน” ของสถานีโทรทัศน์
· บทบาทในการเป็นช่องทางติดตามตรวจสอบปัญหาของประชาชน ในขณะที่บทบาทแรกที่กล่าวถึงนั้นเป็นเพียงครึ่งทางเท่านั้น ซึ่งหากมีปรากฏการณ์ว่า “ ร้องเรียนแล้ว แต่ก็เงียบหายไป หรือไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น” การร้องเรียนที่เป็นหมันย่อมทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายต่อการส่งข่าวสารจากล่างขึ้นบน เพื่อให้แก้ปัญหามีลักษณะครบวงจร วิทยุชุมชนจะต้องแสดงบทบาทในการติดตามตรวจสอบการแก้ปัญหาไปจนสุดเส้นทาง
· การนำเสนออัตลักษณ์ ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของชุมชนออกสู่โลกภายนอก เช่น บรรดารายการ “ของดีบ้านเฮา” หรือ “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” ทั้งหลาย
(1.2)ในแนวนอน การเล่นบทบาทเป็นช่องทางให้มีการติดต่อสื่อสารในแนวนอน ระหว่างชาวบ้านกับชาวบ้านด้วยกันเองนั้น ถือได้ว่าเป็นมิติใหม่ของวิทยุชุมชนทีเดียว การแสดงบทบาทในเชิงแนวนอนมีกระทำได้หลายรูปแบบ เช่น
· การเป็นสื่อกลางระหว่างประชาชนกับประชาชนกันเอง เช่น เป็นจุดนัดพบระหว่างชาวบ้านที่เป็นวิทยากรกับเป็นผู้ฟังที่สนใจ
· บทบาทในการเป็นเวทีแสดงความคิดเห็น ทั้งความคิดเห็นต่อเรื่องราวทั่ว ๆ ไป (เช่น เพศที่สาม รักในวัยเรียน ฯลฯ) และความคิดเห็นต่อปัญหาของชุมชน รวมทั้งเป็นพื้นที่รวบรวมข้อเสนอแนะต่อการแก้ปัญหาอันเป็นไปตามหลักการที่ว่า “หลายหัวดีกว่าหัวเดียว”
· เป็นจุดประสานความช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างชุมชน ในประเพณีดั้งเดิมของไทยมีคำว่า “พริกอยู่บ้านเหนือ” เกลืออยู่บ้านใต้ หัวตะไคร้อยู่บ้านเพื่อน” อันหมายความถึงการช่วยเหลือเอื้ออาทรระหว่างชุมชนเมื่อเกิดเหตุเพทภัยกับชุมชนใกล้เคียง ซึ่งในปัจจุบันนี้นี้วิทยุชุมชนจะสามารถแสดงบทบาทเป็นตัวต่อสายความช่วยเหลือให้ได้ถึงกันได้
1.4.2 การแสดงบทบาทในการพัฒนาชุมชน
ในกระแสการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ในปัจจุบันนี้ วิทยุชุมชนสามารถจะเป็นพลังสำคัญพลังหนึ่งในการเข้าร่วมกับการพัฒนาชุมชนในมิติต่าง ๆ ดังนี้
(1) บทบาทในการเสริมพลังทางเศรษฐกิจ เช่น การเผยแพร่สินค้าของชุมชน การแนะนำอาชีพ ฯลฯ
(2) บทบาทในการติดตาม/จับตาดู/วิพากษ์วิจารณ์การเมืองระดับท้องถิ่น เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบแนวทาง/นโยบาย/การปฏิบัติงานของการเมืองในชุมชน เช่น กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ
(3) บทบาทในการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี สืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การแสดงโคราช ลิเก ประเพณีแข่งเรือ ฯลฯ
(4) บทบาทในการขัดเกลาทางสังคม เช่น การส่งเสริมค่านิยมเรื่องความขยันขันแข็ง รักถิ่นกำเนิด รักษาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
(5) บทบาทในการระดมความร่วมมือ (Mobilization) เช่น ในช่วงเวลาที่ต้องการการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การรณรงค์ป้องกันพิษสุนัขบ้า โรคเอดส์ ฯลฯ
(6) บทบาทในการเตือนภัย วิทยุชุมชนสามารถทำหน้าที่เป็นยามป้องกันชุมชนให้รู้ตัวล่วงหน้าจากภัยอันตรายต่าง ๆ การที่วิทยุชุมชนจะแสดงบทบาทนี้ได้ ก็ต้องหมายความว่า แม้ว่าเนื้อหาของวิทยุชุมชนจะเป็นเรื่องราวในชุมชน แต่ผู้รับผิดชอบวิทยุชุมชนก็ต้องเปิดตัวเปิดรับข่าวสารจากโลกภายนอกเพื่อจะได้เป็น “แถวหน้าของการรับรู้ข่าวสาร” และนำมาบอกต่อให้แก่ชุมชน เช่น ภัยจากน้ำท่วม ไฟป่า โรคระบาด ฯลฯ
(7) บทบาทในการประสานความสามัคคี (integration) หรือเป็นสื่อกลางในการจัดการกับความขัดแย้ง แน่นอนว่า ในทุกชุมชนย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทั้งที่มาจากภายในชุมชนเอง หรือความขัดแย้งที่เกิดมาจากภายนอก ในท่ามกลางความขัดแย้งดังกล่าว วิทยุชุมชนอาจจะเล่นบทเป็น “พื้นที่เจรจา” ให้ทุกฝ่ายได้เข้ามาเจรจาตกลงต่อรองกัน
(8) บทบาทในการสร้างบุคลิกภาพแบบใหม่ให้แก่คนในชุมชน เมื่อวิทยุชุมชนได้เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ได้เข้ามามีปากมีเสียงในพื้นที่สาธารณะ ก็เท่ากับว่าวิทยุชุมชนได้เป็นเวทีสำหรับฝึกซ้อมให้ประชาชนรู้จักแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ
สำหรับบทบาทที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะสามารถใช้เป็นกรอบเพื่อประเมินความก้าวหน้าของวิทยุชุมชน กล่าวคือ ยิ่งนับวันสัดส่วนของการแสดงบทบาทเพื่อเชื่อมต่อการสื่อสารในแนวนอนควรจะมีมากขึ้น ในขณะที่สัดส่วนของการสื่อสารจากบนลงล่างควรจะลดลง จึงจะหมายความว่า วิทยุชุมชนได้ทำหน้าที่เข้าใกล้กับโฉมหน้าที่แท้จริงของวิทยุชุมชนมากยิ่งขึ้น
1.4.3 ประโยชน์ของวิทยุชุมชน
จากการสัมภาษณ์ชาวบ้านที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับวิทยุชุมชนจากงานวิจัยเรื่องวิทยุชมชนหลายต่อหลายชิ้น พอจะประมวลประโยชน์ของวิทยุชุมชนจากทัศนะของชาวบ้านได้ดังนี้ เช่น
(1) วิทยุชุมชนให้โอกาสประชาชนได้มีสิทธิแสดงความคิดเห็นผ่านที่สาธารณะ ได้พูดในสิ่งที่อยากพูด
(2) ช่วยให้ประชาชนได้รับทราบข่าวที่ต้องการทราบ
(3) ช่วยให้ประชาชนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกับรัฐบาล (จากแต่เดิมที่รับฟังรัฐบาลอยู่ฝ่ายเดียว) โดยเฉพาะเรื่องการแลกเปลี่ยนการแก้ปัญหาชุมชน เพราะชาวบ้านจะรู้เรื่องของชุมชนดีกว่ารัฐบาล
(4) ชาวบ้านสามารถใช้วิทยุชุมชนติดตามและตรวจสอบการทำงานสาธารณะได้
(5) ชาวบ้านสามารถใช้วิทยุชุมชนเป็นช่องทางในการยกระดับคุณภาพชีวิตได้ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำมาหากิน สุขภาพอนามัย วัฒนธรรมศีลธรรม การปกครอง สิ่งแวดล้ม ฯลฯ
(6) เนื่องจากวิทยุชุมชนได้นำเอาเรื่องราวที่เป็นความภาคภูมิใจ เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านไปเล่าสู่กันฟัง ทำให้ชุมชนเห็นคุณค่าของตัวเอง และมีความมั่นใจในตนเอง
(7) วิทยุชุมชนเป็นช่องทางให้ชาวบ้านได้แสดงความต้องการให้โลกภายนอกได้รับรู้
เป็นต้น
1.5 หลักการดำเนินงานที่ดีของวิทยุชุมชน
เพื่อให้วิทยุชุมชนได้เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยและพัฒนาชุมชนอย่างแท้จริง การดำเนินงานวิทยุชุมชนจำเป็นต้องเป็นไปตามหลักการที่แท้จริงและถูกต้องของการทำงานวิทยุชุมชน ในที่นี้จะกล่าวถึงหลักการสำคัญ ๆ ของการดำเนินงานวิทยุชุมชน 4 หลักการคือ
1.5.1 โครงสร้างที่เหมาะสมของวิทยุชุมชน
1.5.2 คณะกรรมการดำเนินงาน
1.5.3 การบริหารจัดการ
1.5.4 หลักการผลิตเนื้อหาและรูปแบบรายการ
โครงสร้างที่เหมาะสมของวิทยุชุมชน |
คณะกรรมการดำเนินงาน
|
การบริหารจัดการ
|
การผลิตเนื้อหา และรูปแบบรายการ
|
1.5.1 โครงสร้างที่เหมาะสมของวิทยุชุมชน
หากเปรียบเทียบว่าการดำเนินงานของวิทยุชุมชนเป็นเสมือนการก่อสร้างบ้านสักหลังหนึ่ง ความแข็งแรงทนทานของบ้านหลังหนึ่ง ๆ ย่อมขึ้นอยู่กับโครงสร้างของตัวบ้าน อันได้แก่การตอกเสาและการปรับสภาพพื้นดิน ในปีนี้ จึงขอเสนอโครงสร้างที่เหมาะสมที่จะค้ำจุนให้งานวิทยุชุมชนมีความเข้มแข็งดังนี้
1. คณะกรรมการ |
เป็นใคร
|
ได้มาอย่างไร
|
การจูนความเข้าใจให้ตรงกัน
|
โครงสร้างที่เหมาะสมของวิทยุชุมชน
|
2. กรอบการทำงาน
|
3. ระเบียบกฎเกณฑ์
|
7. ความตื่นตัวด้านสิทธิในการสื่อสารของประชาชน
|
6. แหล่งข้อมูล/ฐานข้อมูล
|
5. ความพร้อมด้านเทคนิค/อุปกรณ์
|
4. มาตรการสำหรับความมั่นคง/ต่อเนื่อง
|
การจัดสรรเวลา
|
งบประมาณ
|
(ก) ก่อนที่จะกล่าวถึงรายละเอียดของโครงสร้างที่เหมาะสมของวิทยุชุมชนนี้ ขอย้อนกลับไปถึงเรื่องระดับของวิทยุชุมชนที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว เพื่อแสดงให้เห็นว่า “วันนี้ วิทยุชุมชนของไทยเรากำลังอยู่ที่ตรงไหน และพรุ่งนี้เราจะก้าวเดินขึ้นไปถึงตรงไหน”
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ปัจจุบันนี้ วิทยุชุมชนของไทยยังอยู่เพียงแต่ระดับเตาะแตะเพิ่งเริ่มตั้งไข่ คือเป็นวิทยุชุมชนระดับที่หน่วยงานรัฐให้เวลาบางช่วงมาจัดทำรายการเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องถือว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการฝึกซ้อมของประชาชน ซึ่งควรจะเรียนรู้ให้มากที่สุด และทุกรายการควรจะมีการวางแผนงานเพื่อการเติบโตไปเป็นสถานีของชุมชนเอง
สำหรับในอนาคตหากรายการวิทยุชุมชนรายการใดมีความพร้อม ก็น่าจะแปรความใฝ่ฝันให้กลายเป็นจริงด้วยการยกระดับการเป็นวิทยุชุมชนที่ชุมชนเป็นเจ้าของสถานี ซึ่งผลจากการวิจัยเรื่องวิทยุชุมชนได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับอนาคตเอาไว้ดังนี้
· ที่ตั้งของสถานี ในอนาคตควรกระจายไปอยู่ระดับอำเภอ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงและมีส่วนร่วมของประชาชน
· ขนาดของสถานี ควรเป็นองค์กรขนาดเล็ก เพื่อให้มีความคล่องตัว
· เนื่องจากธรรมชาติของงานวิทยุ เป็นงานที่ต้องทำอย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ ต้องทำทุกวัน ดังนั้น จึงควรมีระบบบุคลากร 2 ระบบ คือ พนักงานประจำและอาสาสมัคร เพื่อให้มีทั้งความต่อเนื่องและการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะจำนวนอาสาสมัครนั้นต้องเปิดกว้างให้มากที่สุด
(ข) สำหรับโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับวิทยุชุมชนที่จะนำเสนอในที่นี้นั้น จะยังคงเป็นโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับ “วิทยุชุมชนของวันนี้” เท่านั้น คือเป็นวิทยุชุมชนในระดับรายการที่หน่วยงานรัฐ/เจ้าสถานีให้เวลามาจัดทำเท่านั้น
(1) องค์ประกอบของคณะทำงานวิทยุชุมชน
(1.1) ใครควรเป็นคณะทำงาน
จากธรรมชาติของงานวิทยุที่ได้กล่าวมาแล้ว โครงสร้างของการทำงานวิทยุชุมชนควรเป็นระบบบุคลากรคู่ขนานคือ มีคณะกรรมการวิทยุชุมชนที่ทำงานประจำ และมีอาสาสมัครที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งผลการวิจัยวิทยุชุมชนที่จังหวัดบุรีรัมย์ได้พิสูจน์แล้วว่า ระบบบุคลากรคู่ขนานดังกล่าวสามารถทำให้การจัดรายการวิทยุชุมชนได้เกือบตลอดทั้งวันและจัดทุกวันมีความเป็นไปได้จริง
(ดูรายละเอียดเรื่องอาสาสมัครในกรณีศึกษาของวิทยุชุมชนบุรีรัมย์)
คณะกรรมการบริหาร |
อาสาสมัคร
|
หลักเกณฑ์ที่พึงพิจารณาในการคัดเลือกคณะทำงานวิทยุชุมชนควรมีดังนี้
· ภูมิหลังของคนทำงานควรมีความหลากหลาย โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเมื่อเริ่มมีวิทยุชุมชนใหม่ ๆ โดยอาจจะประกอบด้วยตัวแทนจากชุมชน เจ้าหน้าที่รัฐที่ทำงานด้านวิทยุ นักวิชาการ ช่างเทคนิค ฯลฯ เพื่อให้ทุกฝ่ายทำงานแบบหนุนช่วยกัน
· แต่ในท่ามกลางกลุ่มบุคคลที่หลากหลายนี้ ควรให้มีจำนวนของตัวแทนจากชุมชนเป็นสัดส่วนหลัก และมีการกำหนดวาระหมุนเวียนที่แน่นอนเอาไว้ เช่น มีวาระดำรงตำแหน่ง 2 – 3 ปี เป็นต้น
(1.2) วิธีการได้มาซึ่งคณะทำงาน
ในขณะที่ระเบียบปฏิบัติของหน่วยงานรัฐนั้น มักจะใช้วิธีการ “แต่งตั้ง” ข้าราชการมาปฏิบัติงานตามความเห็นชอบของผู้บังคับบัญชา แต่สำหรับวิธีการได้มาซึ่งคณะทำงานจากภาคประชาชนนั้น ต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกันออกไป คือต้องเป็น “วิธีการเลือกตั้ง” ตัวแทนจากชุมชน
จากประสบการณ์ของวิทยุชุมชนบุรีรัมย์ได้แสดงให้เห็นว่า ตัวแทนของชุมชนที่จะเอามาเป็นคณะทำงานวิทยุชุมชนนั้น ควรมาจากกลุ่มอาสาสมัครซึ่งเป็นผู้ที่มีจิตใจสนใจทำงานส่วนรวม มีความสนใจในเรื่องข่าวสาร และหากได้ผู้ที่เคยผ่านการฝึกอบรมด้านการเผยแพร่ข่าวสารก็จะยิ่งดี รวมทั้งเป็นผู้ที่มีเวลาที่จะอุทิศตนเองเพื่อส่วนรวม กลุ่มคณะทำงานนี้อาจจะเป็นหรือไม่เป็นผู้นำชุมชนอยู่แล้วก็ได้
(1.3) กระบวนการสร้างความเข้าใจร่วมกันเรื่องวิทยุชุมชน
ในขณะที่การคัดเลือกคณะทำงานที่มีภูมิหลังที่แตกต่างหลากหลายกัน จะทำให้เกิดการหนุนช่วยกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความแตกต่างนั้นก็อาจจะกลายเป็นอุปสรรคในการทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะความแตกต่างทางความคิดและความเข้าใจ และเมื่อคำนึงถึงว่า เรื่องวิทยุชุมชนเป็นเรื่องแปลกใหม่ ก็ยิ่งน่าจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจหรือเข้าใจกันไปคนละทิศละทาง ดังที่มีผลการวิจัยรายงานอยู่เสมอว่า ในส่วนข้าราชการเองก็ยังมีความไม่เข้าใจว่า วิทยุชุมชนคืออะไร และเกรงไปว่า ชาวบ้านจะมาใช้วิทยุไปอย่างผิดแนวทางการพูดในที่สาธารณะ ทางฝ่ายชาวบ้านเองก็อาจจะถูกครอบงำจากกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ เป็นต้น จึงต้องมีกลไกแก้ไขเรื่องความเข้าใจที่แตกต่างกัน
สำหรับกลไกที่จะช่วยให้มีการแก้ไขความแตกต่างและสร้างความเข้าใจร่วมกันมีอยู่หลายวิธี เช่น การฝึกอบรมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง การจัดประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ การสรุปบทเรียนการทำงานร่วมกัน เป็นต้น
(2) การกำหนดกรอบการทำงาน
หากเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า การทำงานวิทยุชุมชนนั้นก็เหมือนกับการเล่นฟุตบอล ซึ่งจำเป็นต้องมีการลากเส้นขอบของสนามฟุตบอล มีการกำหนดจำนวนและตำแหน่ง
หน้าที่ของนักฟุตบอลและมีกฎกติกามารยาท
ดังนั้นกรอบการทำงานของคณะกรรมการวิทยุชุมชนจึงประกอบไปด้วย
· การกำหนดขอบเขต ภาระหน้าที่ และความรับผิดชอบของคณะกรรมการวิทยุชุมชนเอาไว้อย่างชัดเจน แน่นอน เป็นลายลักษณ์อักษร (เพื่อความต่อเนื่องในกรณีมีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนคณะกรรมการ) ตัวอย่างเช่น บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารวิทยุชุมชน จ.เชียงใหม่มีดังนี้
(1) รับนโยบายจากคณะกรรมการอำนวยการมาปฏิบัติ
(2) วางแผนและประสานความร่วมมือให้เป็นไปตามนโยบาย
(3) กำกับดูแลให้ดำเนินงานตามแผน
(4) แต่งตั้งและถอดถอนคณะทำงานฝ่ายต่าง ๆ ได้
(5) มีการประชุมคณะกรรมการบริหารงานอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ผู้เข้าร่วม
ประชุมต้องมีจำนวนเกินกว่าครึ่งหนึ่งจึงถือว่าครบองค์ประชุม
(6) รายงานผลต่อคณะกรรมการอำนวยการทุก 3 เดือน
· มีการแบ่งงานกันทำว่ามีตำแหน่งหน้าที่อะไรบ้าง ลักษณะงานของแต่ละ
ตำแหน่ง(Job description)
· มีการวางแผนการทำงานที่แน่นอน มีการระบุเป้าหมายย่อยของแต่ละแผน กิจกรรม ผู้รับผิดชอบ วิธีการดำเนินการ การติดตามและประเมินผล การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแผนงาน
· รูปแบบการทำงานนั้น ต้องปรับเปลี่ยนจากวิธีการ “แบบราชการ” มาเป็น “แบบประชาชน” คือไม่ใช่การสั่งการ แต่ใช้การประชุม/เจรจา/ต่อรอง/หาเหตุผลมาหักร้างกันจนได้ข้อสรุป
· ต้องมีการวางมาตรการว่า การทำงานของคณะกรรมการฯ จะเป็นไปได้อย่างเป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซง/ครอบงำจากธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่น กลุ่มผู้แสวงหาผลประโยชน์
(3) การวางระเบียบกฎเกณฑ์
เนื่องจากวิทยุชุมชนมีทั้งส่วนที่เป็นรอยต่อมาจากวิธีการทำงานวิทยุแบบรัฐ กับมีทั้งส่วนที่เป็นเรื่องใหม่ ๆ ดังนั้น จึงต้องมีร่างข้อตกลงสำหรับเป็นระเบียบร่วมกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการทำงาน รวมทั้งต้องมีการแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบเดิมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงานด้วย เช่น
· ควรมีการร่างระเบียบที่แน่นอนเกี่ยวกับวาระการประชุมของคณะทำงาน เนื่องจากเหตุผลที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า การประชุมคณะกรรมการเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงาน และยังมีหน้าที่ข้างเคียงอีกหลายอย่าง เช่น เป็นการกลไกการจูนความเข้าใจของกรรมการให้เข้ามาหากัน
· ควรมีระเบียบว่าด้วยวิธีการสรรหาคณะกรรมการ วาระและการสิ้นสภาพของคณะกรรมการ รวมทั้งค่าตอบแทนของคณะกรรมการ
· ควรมีระเบียบเกี่ยวกับแหล่งรายได้ของวิทยุชุมชน เช่น การรับงานโฆษณา
(4) มีมาตรการที่เป็นหลักประกันความมั่นคงและความต่อเนื่องของวิทยุชุมชน
ผลการวิจัยเรื่องวิทยุชุมชนที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า จุดอ่อนที่ทำให้งานวิทยุชุมชนหยุดชะงักหรือแคระแกรนไม่อาจเติบโตไปได้นั้น เป็นเพราะขาดมาตรการที่เป็นหลักประกันความมั่นคงและความต่อเนื่องในส่วนที่เกี่ยวกับ 2 องค์ประกอบสำคัญ คือ การจัดสรรเวลาและการจัดสรรงบประมาณ
· การโยกย้ายรายการออกอากาศตลอดเวลา ส่งผลกระทบกับการเปิดรับฟังวิทยุชุมชนอย่างมาก กล่าวคือทำให้ชาวบ้านเบื่อหน่ายและไม่ติดตามรับฟัง ดังนั้น ต้องมีระเบียบปฏิบัติในการจัดสรรเวลาที่แน่นอนแก่วิทยุชุมชน
· การจัดสรรช่วงเวลาต้องให้สอดคล้องกับความต้องการและวิถีชีวิตของชุมชน ดังนั้น การเลือกช่วงเวลาควรเป็นผลมาจากการสำรวจความต้องการของผู้ฟัง
· ควรมีการวางนโยบายที่จะเพิ่มสัดส่วนของรายการวิทยุชุมชนให้มากขึ้นและหลากหลาย
· ควรมีมาตรการหรือแผนงานที่จะแสวงหาแหล่งรายได้/งบประมาณสำหรับการทำวิทยุชุมชน (ดูรายละเอียดในหัวข้อ “การบริหารจัดการงบประมาณ”)
(5) ความพร้อมด้านเทคนิคและอุปกรณ์
ความพร้อมด้านเทคนิคและอุปกรณ์นั้นมีอยู่ 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือเทคนิคด้านการส่งวิทยุเพื่อให้มีผลการรับฟังที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านเข้าถึงวิทยุชุมชนในฐานะผู้ฟัง (นี่เป็นหลักการพื้นฐานของวิทยุโดยทั่วไป)
อีกส่วนหนึ่งเป็นความพร้อมทางเทคนิคสำหรับวิทยุชุมชนโดยเฉพาะ เนื่องจากวิทยุชุมชนต้องการการมีส่วนร่วมจากชุมชนทั้งในฐานะผู้รับฟังที่สนใจและการมาเป็นผู้ร่วมรายการ/แขกรับเชิญ โดยเฉพาะการจัดรายการสด ดังนั้นอุปกรณ์พื้นฐาน เช่นโทรศัพท์ จึงต้องมีจำนวนมากพอที่จะเอื้ออำนวยให้ผู้ฟังโทรเข้ามามีส่วนร่วมในรายการได้ รวมทั้งมีไมโครโฟนและหูฟัง (headphone) ที่มีปริมาณมากเพียงพอและมีคุณภาพดี
นอกจากนั้น ก็ต้องมีอุปกรณ์และเทคนิคสำหรับการถ่ายทอดรายการในกรณีที่มีการจัดเวทีวิทยุสัญจรนอกสถานที่/ในชุมชน เช่นรถถ่ายทอด (OB Van)/หรือพวกเทปบันทึกเสียง เป็นต้น
นอกจากการฝึกอบรมอาสาสมัครให้เข้ามาเป็นผู้รายงานข่าวแล้ว ควรมีการจัดหาอุปกรณ์สำหรับการรายงานด้วย เช่น โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ อุปกรณ์เหล่านี้จำเป็นต้องมีการซ่อมแซมอย่างรวดเร็วในกรณีที่เกิดเสียขึ้นมา
(6) ความพร้อมเรื่องการประสานงานกับแหล่งข้อมูลและฐานข้อมูล
เนื่องจากลักษณะการทำงานของวิทยุชุมชนนั้น มิใช่การพึ่งพาบรรดานักจัดรายการ/นักข่าวมืออาชีพกลุ่มเล็ก ๆ อีกต่อไป หากแต่เป็นรูปแบบการกระจาย (decentralize) ทั้งอาสาสมัครส่งข่าว ชาวบ้านที่เข้ามาเป็นนักจัดรายการ และชาวบ้านที่เข้ามาเป็นแขกรับเชิญ/วิทยากร/ผู้ร่วมสนทนา นอกจากนั้น เนื้อหาของรายการก็ยังต้องตอบสนองความต้องการของชุมชน
ดังนั้น โครงสร้างเชิงระบบที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ระบบการจัดเก็บข้อมูล ทั้งที่เป็นข้อมูลเรื่องตัวบุคคลที่จะเป็นแหล่งข้อมูล เช่น มีการทำทะเบียนรายชื่อและวิธีติดต่อของอาสาสมัคร/ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น/วิทยากร/ผู้นำภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นต้น และฐานข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะนำมาจัดรายการ
(7) ปัจจัยด้านความตื่นตัวเรื่องสิทธิในการสื่อสารของประชาชน
เนื่องจากวิทยุชุมชนเป็นวิทยุที่จะต้องดำเนินการ “โดย” ประชาชน ดังนั้น ประชาชนจึงต้องมีความเข้าใจใหม่ในเรื่องเกี่ยวกับบทบาทของตนเองกับวิทยุ จากแต่เดิมที่ประชาชนเคยเป็นเพียง “ผู้ฟังเฉยๆ” แต่ในรูปแบบวิทยุชุมชนอย่างใหม่นี้ ประชาชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในฐานะ “เจ้าของวิทยุชุมชน”
ดังนั้น จึงต้องมีกลไกและกระบวนการต่าง ๆ ในการกระตุ้นให้ประชาชนมีความตื่นตัวในสิทธิในการสื่อสารของประชาชน ซึ่งงานวิจัยเรื่องวิทยุชุมชนที่ผ่านมาได้แสวงหากลไกต่าง ๆ หลายรูปแบบ เช่น การจัดฝึกอบรมเรื่องสิทธิการสื่อสารและวิทยุชุมชนให้แก่อาสาสมัคร การจัดวิทยุชุมชนสัญจรตามชุมชนหรือศูนย์รวมของเมืองต่าง ๆ การจัดนิทรรศการสัญจร การประชาสัมพันธ์วิทยุชุมชนผ่านสื่อต่าง ๆ การจัดเวทีเสวนา เวทีประชาคม เป็นต้น
แน่นอนว่านอกเหนือจากโครงสร้างทั้ง 7 ประการที่กล่าวมานี้แล้ว ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ วิทยุชุมชนก็คงต้องการการสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านวิชาการ ทางเทคนิค ด้านการบริหารจัดการ ความรู้ในการผลิตรายการ งบประมาณ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม แกนกลางของวงล้อที่จะขับเคลื่อนนี้ก็คงต้องเป็นโครงสร้างภายในของวิทยุชุมชนเอง
1.5.2 คณะกรรมการดำเนินงาน
ปัจจุบันนี้ วิทยุชุมชนหลายแห่งในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงทดลองแสวงหารูปแบบการบริหารจัดการโดยคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ซึ่งยังไม่ลงตัว ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับคณะกรรมการฯ และการดำเนินงานนั้น จึงเป็นเพียงการถอดบทเรียนออกมาจากงานวิจัยวิทยุชุมชนในที่ต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังมิใช่สูตรสำเร็จตายตัว อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปแน่นอนประการหนึ่งก็คือ คณะกรรมการดำเนินงานวิทยุชุมชนเป็นกลไกที่สำคัญอย่างยิ่งในการชี้ขาดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของงานวิทยุชุมชน เนื่องจากเป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนการดำเนินงานทั้งหมด
คณะกรรมการดำเนินงาน |
1. จำนวนและขนาดของคณะกรรมการ
|
2. ภารกิจ/หน้าที่
|
3. วิธีการได้มา
|
4. คุณสมบัติของคณะกรรมการ
|
(1) จำนวนและขนาดของคณะกรรมการ
โดยทั่วไปแล้ว คณะกรรมการดำเนินงานของวิทยุชุมชนในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านนี้ มักจะมี 3 ชุด คือ
(ก) คณะกรรมการบริหาร
(ข) คณะกรรมการ/อนุกรรมการผลิตรายการ
(ค) อาสาสมัคร
ตัวอย่างเช่น การจัดโครงสร้างคณะกรรมการของวิทยุชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์ที่นับว่าเป็นรูปแบบโครงสร้างคณะกรรมการที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ
คณะกรรมการบริหารรายการวิทยุชุมชน |
ชมรมอาสาสมัครวิทยุชุมชน
|
คณะอนุกรรมการผลิตรายการ
|
ผลิตรายการ
|
ผู้ฟังเป้าหมาย
|
หน่วยราชการ/เอกชน/ฯลฯ
|
อาสาสมัครนักวิทยุชุมชนประจำหมู่บ้าน
|
หอกระจายข่าว
|
สำหรับจำนวนคนในคณะกรรมการแต่ละชุดนั้น ผลการวิจัยที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า
· คณะกรรมการบริหารนั้นไม่ควรมีจำนวนมากเกินไป (ไม่ควรเกิน 15 คน) เนื่องจากจะมีปัญหาในเรื่องการเรียกประชุมและความคล่องตัวในการทำงาน แต่ควรจะมีภูมิหลังที่หลากหลายและเป็นตัวของแทนของคนทุกกลุ่มดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
· ส่วนคณะอนุกรรมการ/กรรมการการผลิตรายการก็เช่นเดียวกัน ไม่ควรมีจำนวนมากเกินไป และควรแน่ใจว่า เป็นคนที่จะมีเวลาทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างแท้จริง
· ส่วนอาสาสมัครนั้น สามารถมีจำนวนมากอย่างไม่จำกัด
(2) การกำหนดภารกิจ/หน้าที่ของคณะกรรมการแต่ละชุด
ควรมีการกำหนดภารกิจและหน้าที่ของคณะกรรมการ/อนุกรรมการแต่ละชุดเอาไว้ให้ชัดเจนแน่นอน เช่น
(ก) คณะกรรมการบริหาร ควรมีขอบเขตความรับผิดชอบดังนี้ เช่น
· กำหนดนโยบาย รูปแบบ และเนื้อหารายการ
· วางแผนงานและดูแลให้มีการดำเนินงานไปตามแนวนโยบาย
· สรรหาคณะกรรมการ/อนุกรรมการผลิตรายการ
· เป็นที่ปรึกษาทางวิชาการของคณะกรรมการผลิตรายการ
· สนับสนุนการผลิตรายการ ทั้งในเรื่องงบประมาณ อุปกรณ์ และการขยายเครือข่าย
· วิเคราะห์กลยุทธ์และมาตรการที่เกี่ยวกับการปรับปรุงรายการ
· นำเสนอแนวทางและวิธีการพัฒนาวิทยุชุมชนให้เป็นไปตามนโยบาย
ฯลฯ
(ข) คณะกรรมการ/อนุกรรมการผลิตรายการ ควรมีขอบเขตรับผิดชอบดังนี้ เช่น
· กำหนดช่วงเวลาออกอากาศและความยาวของรายการ
· ผลิตและจัดทำรายการวิทยุชุมชนให้เป็นไปตามกรอบและแนวคิดที่คณะกรรมการบริหารกำหนดมาให้
· ตัดสินใจในการเชิญบุคคลหรือองค์กรมาให้ข้อมูลหรือมาร่วมรายการได้ตามความเหมาะสม
· ประสานกับแหล่งข้อมูลทั้งที่เป็นหน่วยงานรัฐในท้องถิ่น หรือผู้นำชุมชน รวมทั้งประสานกับอาสาสมัคร
· คัดเลือกประเด็นเนื้อหาและจัดหาเนื้อหามาเพื่อผลิตรายการ
· ประชาสัมพันธ์รายการผ่านช่องต่าง ๆ เช่น จัดส่งข่าวสารเพื่อเผยแพร่ ถ่ายทอดเสียงผ่านทางหอกระจาย รวมทั้งค้นคิดกิจกรรมเสริมรายการวิทยุชุมชน เช่น เวทีวิทยุชุมชนสัญจร
· จัดทำไตเติ้ลรายการ
· รับฟังความคิดเห็นของชาวบ้าน
ฯลฯ
ผลจากการวิจัยเรื่องวิทยุชุมชนที่ผ่านมาได้ให้บทเรียนที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำงานหน้าที่ของคณะกรรมการทั้ง 2 ชุดดังนี้
(ก) ในขณะที่คณะกรรมการบริหารจะมีภารกิจเน้นหนักด้านนโยบาย ส่วนคณะกรรมการผลิตรายการจะมีภารกิจหลักคือการปฏิบัติงาน เพื่อมิให้เกิดช่องว่างระหว่างนโยบายกับการปฏิบัติจำเป็นต้องมีการประสานงานอย่างดีระหว่างกรรมการทั้งสองชุด
(ข) วิธีการที่ดีวิธีหนึ่งในการประสานงานคือการประสานผ่านตัวบุคคล กล่าวคือ ควรมีบุคคลบางคนหรือมีการกำหนดตำแหน่งบางตำแหน่งที่อยู่ในคณะกรรมการทั้ง 2 ชุด เพื่อเป็นสะพานเชื่อมต่อ
คณะกรรมการ บริหาร
|
คณะกรรมการ
ผลิตรายการ
|
(ค) มีข้อเสนอแนะว่า เพื่อให้คณะกรรมการทั้งสองชุดมีความเข้าใจในการผลิตรายการวิทยุชุมชนอย่างแท้จริง คณะกรรมการทั้ง 2 ชุดบางท่านควรลงมาเป็นผู้จัดรายกร/ผู้ดำเนินรายการ/แขกรับเชิญ/วิทยากร/หรือมีส่วนร่วมในรูปแบบอื่น ๆ ของการผลิตรายการ
(ง) ผลจากการวิจัยวิทยุชุมชนทดลองที่จังหวัดจันทบุรีพบว่า ปัจจัยที่จะทำให้คณะกรรมการทุกชุดทำงานอย่างเต็มที่ก็คือ “การสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ” วิทยุชุมชนให้เกิดขึ้น ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวนั้น อาจจะไม่มีหรือมีแต่น้อยในระยะเริ่มแรก แต่หากกระบวนการทำงานได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมการได้ทำงานอย่างเต็มที่ (รวมทั้งข้อเสนอแนะในข้อ 3) ความรู้สึกเป็นเจ้าของวิทยุชุมชนก็จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมา
(3) วิธีการได้มาซึ่งคณะกรรมการ
ผลจากการวิจัยที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า มีวิธีการได้มาซึ่งคณะกรรมการแบบใดบ้างที่ได้ผล/แบบใดที่ไม่ได้ผล ดังนี้
(3.1) วิธีการที่ไม่ได้ผล
· ได้แก่วิธีการที่หน่วยงานของรัฐใช้วิธีแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหรือมาจากการสรรหาของคณะทำงานที่แต่งตั้งโดยทางสถานีของรัฐ
· วิธีการคัดเลือกโดยเจ้าหน้าที่รัฐใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว คนรู้จัก ญาติพี่น้อง หรือคนใกล้ชิด
· วิธีการคัดเลือกโดยเจ้าหน้าที่รัฐใช้เกณฑ์เรื่องความสะดวก เช่น เลือกเอาคนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงกับสถานี
เป็นต้น
(3.2) วิธีการที่ได้ผล
· ได้แก่วิธีการที่มีการเลือกตั้งมาจากตัวแทนของกลุ่มต่าง ๆ ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาชีพ กลุ่มอายุ ทุกเพศ
· ในกรณีที่ชุมชนนั้นมีการจัดตั้งประชาคม ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของคนทุกกลุ่มอยู่แล้ว ก็อาจจะเลือกตัวผ่านกลุ่มของประชาคม
· ประสบการณ์ของการคัดเลือกคณะกรรมการทุกชุดของวิทยุชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์นั้น มีความน่าสนใจมาก เนื่องจากให้มีการใช้วิธีการหลายๆ วิธีการผสมผสานกัน เช่น ก่อนที่จะมีการก่อตั้งวิทยุชุมชน ทางสถานีได้เคยมีประสบการณ์การเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเข้ามาร่วมรายการวิทยุอยู่แล้ว และได้รวบรวมรายชื่อเครือข่ายผู้สนใจกิจการวิทยุ และใช้ฐานข้อมูลเครือข่ายเป็นส่วนหนึ่งของการคัดเลือกคณะกรรมการ
อีกส่วนหนึ่งได้มาจากเครือข่ายอาสาสมัครประชาสัมพันธ์หมู่บ้าน
(อปม.) ที่กรมประชาสัมพันธ์ไปจัดอบรมเอาไว้
อีกช่องทางหนึ่งคือการประกาศรับสมัครผ่านทางรายการวิทยุกระจายเสียงให้ ผู้ที่สนใจเขียนจดหมายส่งมาที่สถานีหรือเดินทางมาสมัครที่สถานีก็ได้
แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด ต้องให้แน่ใจว่าจะได้ตัวแทนจากคนทุกกลุ่มอายุ ทุกเพศ ทุกอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนที่ด้อยโอกาสด้านการสื่อสาร คือกลุ่มที่ไม่ค่อยได้มีสิทธิมีเสียงในเวทีสาธารณะ ทั้งนี้เพื่อวิทยุชุมชนได้ให้บริการแก่ทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง และได้เป็นช่องทางให้คนทุกกลุ่มได้ใช้สิทธิทางการสื่อสารทั้งในฐานะผู้ส่งสารและผู้รับสารของตนอย่างแท้จริง
(4) คุณสมบัติของคณะกรรมการ
ผลจากการวิจัยเรื่องวิทยุชุมชนในหลาย ๆ ที่ ให้บทเรียนบางประการเกี่ยวกับคุณสมบัติของคณะกรรมการวิทยุชุมชนว่า ควรมี/ไม่ควรมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ดังนี้
· คณะกรรมการควรเป็นบุคคลที่มีความกระตือรือร้น เพราะงานวิทยุต้องการความคิดริเริ่มสร้างสรรค์แปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา
· เป็นผู้ที่รักและพร้อมที่จะอุทิศตนเองเพื่อชุมชน เพราะงานวิทยุชุมชนเป็นงานเพื่อส่วนรวมมิใช่ธุรกิจ ควรเป็นผู้ที่มีเวลาว่างพอสมควรที่จะทำงานให้ส่วนรวมภายในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่ง
· มีความบริสุทธิ์ใจในการเข้ามาทำงาน ไม่มีเป้าหมายเพื่อหวังผลประโยชน์แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง สำหรับคุณสมบัติข้อนี้ จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบด้วยกระบวนการเลือกตั้งของชุมชนเท่านั้น เนื่องจากเป็นคุณสมบัติที่ต้องดูจากประวัติชีวิตที่ผ่านมา
· ไม่เป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อป้องการการที่วิทยุชุมชนจะถูกครอบงำจากการเมืองท้องถิ่น
· คณะกรรมการวิทยุชุมชนนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำของชุมชน เช่น กำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน ขอให้เป็นผู้ที่รักและสนใจงานวิทยุเป็นใช้ได้
· ประสบการณ์จากงานวิทยุชุมชนบางแห่งพบว่า คณะกรรมการมีการเสนอบุคคลอื่นที่โดดเด่นหรือมีอิทธิพลในชุมชนที่ตนเห็นว่าเหมาะสมเป็นกรรมการเพื่อหวังผลการสนับสนุนรายการบางอย่าง เช่น การเงิน ความสะดวกในการทำงานหรือวิทยากร ซึ่งความคิดดังกล่าวนั้นพิสูจน์แล้วว่าไม่ถูกต้อง เพราะบุคคลที่เด่นหรือมีอิทธิพลอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อการทำงานกลุ่ม เนื่องจากมีลักษณะที่ข่มกรรมการคนอื่น ๆ จนไม่มีการแสดงความคิดเห็นอย่างเสมอภาคเป็นประชาธิปไตย
· ปรากฏการณ์ที่ต่อเนื่องจากที่กล่าวมาแล้วก็คือ หากกรรมการมีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมแตกต่างกันมากเท่าไร ก็จะยิ่งเกิดความเกรงใจกันมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นการเลือกกรรมการที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกัน และมีลักษณะความเป็นตัวแทนของกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้ทุกคนกล้าแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม จึงเป็นข้อควรพิจารณาประกอบด้วย
1.5.3 การบริหารจัดการ
นอกเหนือจากส่วนประกอบเรื่องคณะกรรมการวิทยุชุมชนที่เป็นหัวใจห้องหนึ่งแล้ว เรื่องที่เป็นหัวใจห้องที่สองของวิทยุชุมชนก็คือ เรื่อง “การบริหารจัดการ” ซึ่งดูเหมือนว่า สังคมไทยจะเป็นโรค “หัวใจห้องที่สองอ่อน” ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการองค์กรใหม่ ๆ เช่นวิทยุชุมชน และเรายังต้องการการศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้อีกมาก
การบริหารจัดการ |
1.
4 มิติและหลักการ
|
3.
กลไกการควบคุม
|
2.
โครงสร้างการบริหาร
|
(1) 4 มิติและหลักการของการบริหารจัดการ
สำหรับการบริหารจัดการเรื่องวิทยุชุมชนนั้น มีมิติ 4 ด้านที่ต้องบริหารจัดการให้ครอบคลุมดังนี้
· การบริหารจัดการตัวบุคคล
· การบริหารจัดการการผลิตรายการ
· การบริหารจัดการอุปกรณ์/สิ่งของ
· การบริหารจัดการงบประมาณ
ในการบริหารจัดการทั้ง 4 มิตินี้ การบริหารจัดการองค์กร เช่น วิทยุชุมชน จำเป็นต้องมีหลักการสำคัญบางประการในการบริหารจัดการ เพื่อให้สอดคล้องกับความหมายที่แท้จริงของวิทยุชุมชน คือ
· หลักการบริหารอย่างเป็นอิสระ ปราศจากการครอบงำกันเองภายในกลุ่มคณะกรรมการ และเป็นอิสระจากการครอบงำจากอิทธิพลภายนอก ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลของการเมืองท้องถิ่น ธุรกิจ โฆษณา และอื่น ๆ
· หลักการบริหารแบบประชาธิปไตย ผลการวิจัยเรื่องวิทยุชุมชนที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า ระบบการบริหารแบบ “แต่งตั้ง/สั่งการ/ควบคุม” แบบราชการนั้น ไม่อาจก่อให้เกิดโฉมหน้าของวิทยุชุมชนที่แท้จริงได้ การบริหารจัดการวิทยุชุมชนจึงต้องใช้หลักการ “เลือกตั้ง/ประชุมหาข้อสรุป /กำหนดกรอบ/สร้างจิตสำนึก”
· หลักการบริหารร่วม ถึงแม้จะมีคณะกรรมการหลาย ๆ ชุด รวมทั้งมีการแบ่งฝ่ายงานต่าง ๆ แต่ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างคณะกรรมการต่าง ๆ นั้น มิได้เน้นลักษณะลำดับชั้นที่มีใครสูงกว่า/ต่ำกว่า มีอำนาจเหนือกว่า/น้อยกว่า แต่ทว่าคณะกรรมการทุกชุด ฝ่ายทุกฝ่าย จะต้องมีส่วนร่วมในการบริหารที่เรียกว่าเป็น “การบริหารร่วมกัน”
(2) โครงสร้างการบริหารจัดการ
โครงสร้างของการบริหารจัดการวิทยุชุมชนประกอบด้วย 6 ส่วนที่สำคัญคือ
1. เป้าหมาย |
2. นโยบาย
|
3. แผนงาน
|
4. การแบ่งงาน
|
5. การประสานงาน
|
6. การประเมินผล
|
(2.1) เป้าหมาย/วัตถุประสงค์
การกำหนดเป้าหมาย/วัตถุประสงค์นั้น ในภาคปฏิบัติดูเหมือนจะเป็นข้ออ่อนของการบริหารงานแบบไทย ๆ เนื่องจากมักไม่ได้มีการระบุเอาไว้อย่างชัดเจน มักถือว่า “รับรู้กันได้โดยปริยาย” หรือไม่ได้จัดลำดับความสำคัญ ทั้ง ๆ ที่เป้าหมายจะเป็นเสมือนเชือกแห่งการผูกร้อยความเข้าใจของคนทำงานเป็นเปลาะแรก
ตัวอย่างเช่น หากในหมู่คนทำงานวิทยุชุมชนมีความเข้าใจว่า การมาทำวิทยุชุมชนก็เพื่อให้มีรายการวิทยุออกอากาศอยู่ได้ทุกวัน นี่ก็คงเป็นความเข้าใจเป้าหมายที่คลาดเคลื่อนไปจากเรื่อง “วิทยุชุมชน” หรือตัวอย่างที่ได้ยกมากล่าวถึงลำดับความสำคัญของเป้าหมายว่า วิทยุชุมชนไม่ใช่วิทยุ “เพื่อ” ชุมชนเท่านั้น แต่เป้าหมายที่สำคัญคือ เป็นวิทยุ “โดย” ชุมชน
ฉะนั้น เป้าหมายสูงสุดของวิทยุชุมชนที่อาจจะระบุได้ในที่นี้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กำหนดมาจาก “ที่มาที่ไป” ของวิทยุชุมชน นั่นคือ
(ก) เป็นวิทยุที่มีลักษณะประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือไปสร้างสังคมประชาธิปไตย
(ข) เป็นวิทยุที่มีบทบาทในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งในด้านต่าง ๆ ซึ่งหมายความว่าเป็นวิทยุที่สามารถตอบสนองความต้องการของชุมชนได้อย่างตรงเป้าและแท้จริง
ความไม่ชัดเจนในเรื่องเป้าหมาย/วัตถุประสงค์นี้ จะเป็น “การตกบันไดขั้นแรก” ที่จะส่งผลให้เกิดอาการตกบันไดขั้นต่อ ๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวางนโยบาย การวางแผนงาน การเลือกคณะกรรมการ วิธีการดำเนินงาน ฯลฯ ดังตัวอย่างที่ได้กล่าวมาในตอนข้างต้น
ดังนั้น ภารกิจแรกที่พึงกระทำในการเรียกประชุมกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องวิทยุชุมชน ก็คือการทำข้อตกลงกันในเรื่องเป้าหมาย/วัตถุประสงค์ของโครงการวิทยุชุมชน ซึ่งจะต้องเขียนออกมาให้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน ต้องหมั่นนำเอาเป้าหมายมาทบทวนอยู่เสมอเวลาที่เกิดปัญหาและต้องตัดสินใจ รวมทั้งใช้เป็นธงหลักในการประเมินผล
(2.2) นโยบาย
ในขณะที่เป้าหมายเป็นเสมือนการให้คำตอบแก่ผู้เดินทางว่า จุดหมายปลายทางที่เราจะไปให้ถึงนั้นอยู่ที่ไหน แต่ในการเดินทางนั้น เรามีวิธีการหลายแบบที่จะใช้ได้ วิธีการที่เราเลือกใช้ก็คือนโยบายนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น หากเราวางเป้าหมายเอาไว้ว่า จะสร้างวิทยุชุมชนให้มีลักษณะประชาธิปไตยให้มากที่สุด เราก็ต้องกำหนดนโยบายให้มีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจการวิทยุให้หลากหลายรูปแบบ หรือหากเราวางเป้าหมายที่จะเพิ่มความนิยมในการรับฟังของชุมชน เราก็ต้องกำหนดนโยบายให้มีการประชาสัมพันธ์รายการวิทยุชุมชนให้กว้างขวางที่สุด เป็นต้น
(2.3) แผนงาน
แผนงานเป็น “สะพานเชื่อมต่อ” ระหว่างเป้าหมาย/นโยบายที่เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ กับ กิจกรรมการทำงานที่เป็นรูปธรรม มองเห็นจับต้องได้ และเป็นการคำนวณสมดุลระหว่างทรัพยากรที่เรามีกับเป้าหมายที่วางเอาไว้ให้รับมือกัน
ในแผนงาน นอกจากจะต้องมีรายละเอียดของวัตถุประสงค์แล้ว อย่างน้อยก็ยังต้องมีการระบุหัวข้อเหล่านี้ให้ชัดเจนคือ
· จะต้องทำอะไรบ้าง
· ใครทำอะไรบ้าง
· ทำอย่างไร
· เมื่อไหร่เริ่มต้น/เมื่อไหร่เสร็จสิ้น
· ที่ไหน
· ต้องใช้ทรัพยากรอะไรบ้าง (จำนวนคน/เวลา/งบประมาณ/สถานที่/อุปกรณ์)
· คาดหวังว่าจะมีผลงาน (output) อะไรออกมาบ้าง
· จะติดตาม/ประเมินผลด้วยวิธีการอะไร
จากหัวข้อที่ระบุข้างต้นนี้ จะชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นอกจากแผนงานจะมีฐานะเป็นเสมือนสะพานเชื่อมต่อระหว่างสิ่งที่คาดหวังเอาไว้กับสิ่งที่ลงมือทำจริงแล้ว แผนงานยังเป็นเสมือนกองกลางของทีมฟุตบอลที่ช่วยให้เกิดการประสานงานระหว่างฝ่ายต่าง ๆ เนื่องจากในแผนงานนั้น ทุกคนจะมองเห็นภาพรวมว่า ใครจะต้องทำอะไร/เมื่อไหร่/ที่ไหน/…
สำหรับประเภทของแผนงานนั้น ในองค์กรทั่ว ๆ ไปมักจะมีการวางแผนงาน 3 ประเภท คือ แผนงานระยะยาว (เช่น 1 – 3 ปี) แผนงานระยะกลาง (เช่น 6 เดือน) และแผนงานระยะสั้น (เช่น ทุกอาทิตย์/ทุกเดือน) โดยที่แผนทั้ง 3 ประเภทนี้ต้องสอดรับกัน
และสำหรับงานวิทยุชุมชน ซึ่งมีลักษณะเหมือนงานวิทยุโดยทั่วไปที่ต้องการการทำงานประสานจากหลาย ๆ ฝ่าย มิใช่งานประเภท “ศิลปินเดี่ยว” หรือ “One man show” และยังเป็นงานที่ต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้ก่อน มิใช่การด้นกลอนสดอย่างปัจจุบันทันด่วน ก็ยิ่งมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณที่จะต้องมีการวางแผนอย่างละเอียด เช่น การวางผังรายการประจำเดือน ทั้งเพื่อให้มีการตระเตรียมล่วงหน้า และเพื่อให้มีการ “เปลี่ยนแผน” ในกรณีที่เกิดปัญหาอุปสรรคขึ้นมา
สำหรับเรื่องการวางแผนงานนี้ ผลการวิจัยเรื่องวิทยุชุมชนที่ผ่านมาได้ข้อค้นพบที่ชวนให้น่ากังวลใจว่า ยังไม่ค่อยมีการวางแผนงานในการทำงานวิทยุชุมชนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีผลทำให้ความใฝ่ฝันเรื่องวิทยุชุมชนไม่อาจแปรมาเป็นความจริงได้
(2.4) มีการจัดระบบการแบ่งงานกันทำ
การจัดระบบการแบ่งงานกันทำนั้น มีประโยชน์หลายอย่างกล่าวคือ นอกจากจะทำให้รู้ว่าใครต้องทำอะไรบ้างแล้ว ยังเป็นการกระจายความรับผิดชอบและภาระออกไป รวมทั้งมองเห็นปริมาณที่แต่ละตำแหน่งต้องรับผิดชอบ
การจัดระบบแบ่งงานกันทำอาจจะมีหลายแบบ แล้วแต่ความต้องการของวิทยุชุมชนในแต่ละที่ ตัวอย่างเช่น
โครงสร้างการแบ่งงานวิทยุชุมชน จ.นครราชสีมา |
งานวิทยุสัญจร
|
งานกองทุน
|
ประสานงาน
|
งานวิชาการ
|
งานบรรณาธิการ
|
โครงสร้างการบริหารวิทยุชุมชน จ.ยะลา (ตามแบบชาวบ้าน)
ประธาน |
รองประธาน
|
การเงิน
|
ฝ่ายกิจการวิทยุ
|
เลขานุการ
|
ทะเบียน
|
ประชาสัมพันธ์
|
ผู้ช่วยเลขาฯ
|
ประสานงาน
|
จัดรายการ
|
ในการแบ่งฝ่ายงานต่าง ๆ นั้น ควรมีการระบุลักษณะรายละเอียดของงาน (Job description) ของแต่ละฝ่ายงานจะครอบคลุมงานอะไรบ้าง ทั้งนี้ในกรณีที่มีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนตัวบุคคล คนใหม่จะสามารถเรียนรู้การทำงานได้อย่างรวดเร็วโดยดูจากลักษณะรายละเอียดของงาน ตัวอย่างรายละเอียดของงานก็เช่น
· ฝ่ายรายการกระจายเสียง (วิทยุบุรีรัมย์) มีหน้าที่ในการผลิตรายการ วางผังรายการ ตลอดจนบรรจุรายการเพื่อเผยแพร่ในการเสนอข่าว ความรู้ ความบันเทิงอย่างเป็นสัดส่วนและมีประสิทธิภาพ ตรวจสอบรายการ วางแผนผลิตและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ตามนโยบาย
(2.5) การประสานงาน
การประสานงานเปรียบเสมือนเลือดที่นำเอาทั้งของดีและของเสียไปส่งต่อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หากร่างกายขาดเลือดแล้ว อวัยวะทุกส่วนก็ไม่อาจจะทำงานต่อไปได้ ฉันใดก็ฉันนั้น การประสานงานในวิทยุชุมชนก็คือกลไกหล่อลื่นการทำงานของวิทยุชุมชนนั่นเอง
มีบทเรียนที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสร้างสรรค์กลไกการประสานงานให้ทำงานมีประสิทธิภาพ จากตัวอย่างการปฏิบัติงานของวิทยุชุมชน ดังนี้ เช่น
· น่าจะมีการแต่งตั้งตำแหน่ง “เจ้าหน้าที่/ผู้ประสานงาน” ในระดับต่าง ๆ เอาไว้เลย เช่น วิทยุชุมชนโคราชมีเจ้าหน้าที่ประสานงานรายการ หรือมีการกำหนดตำแหน่งผู้ประสานงานระหว่างคณะกรรมการบริหารกับคณะอนุกรรมการผลิตรายการ เป็นต้น
· ต้องหมั่นมีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ/ต่อเนื่อง เนื่องจากธรรมชาติการทำงานของวิทยุชุมชนมิได้ใช้ “การสั่งการ” แต่ใช้ “การตกลงร่วมกัน/ต่อรองความคิดเห็น” กัน ดังนั้น จึงต้องมีการใช้ที่ประชุม
· กลยุทธ์ที่จะทำให้มีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ/ต่อเนื่องนั้น มีหลายวิธีการ เช่น กำหนดวันประชุมที่แน่นอนในแต่ละเดือน หรือการนัดหมายวันประชุมครั้งต่อไปในตอนท้ายของการประชุมทุกครั้ง
(2.6) การประเมินผล
(ดูรายละเอียดในหัวข้อ “การติดตั้งกลไกการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง”)
การประเมินผลจะต้องถูกบรรจุเอาไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานเสมอ และจะต้องมีการทำแผนประเมินผลเอาไว้อย่างชัดเจน แน่นอน
(3) กลไกการควบคุม
เป็นเรื่องแน่นอนว่า ในการบริหารจัดการทั้งหลายนั้น จำเป็นต้องมีระบบการควบคุมเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามที่วางเป้าหมายหรือวางแผนเอาไว้ ปัญหาก็อยู่ที่ว่า จะใช้ระบบการควบคุมแบบไหน อย่างไร มากกว่า สำหรับประสบการณ์การทำวิทยุชุมชนที่ผ่านมาของไทยได้ให้บทเรียนว่า กลไกในการควบคุมการทำงานวิทยุชุมชนนั้นต้องมีอย่างหลากหลาย และใช้การควบคุมเพื่อสร้างสมดุลระหว่าง “การบรรลุเป้าหมาย” กับ “การมีส่วนร่วมของคนทำงาน” ตัวอย่างกลไกการควบคุมที่หลากหลายนั้นได้แก่
(3.1) กฎระเบียบ เป็นกลไกแบบเดิม ๆ ที่พวกเราส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี เนื่องจากการทำงานกับคนหมู่มาก จำเป็นต้องมีข้อตกลงร่วมกันในรูปของกฎระเบียบ เพื่อเป็นหลักประกันว่าวิทยุชุมชนจะทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมอย่างแท้จริง ตัวอย่างกฎระเบียบที่ควรมีก็เช่น การกำหนดคุณสมบัติของผู้จัด/ผู้ดำเนินรายการ รายการที่จะออกอากาศ การควบคุมโฆษณาและบริการธุรกิจ ค่าตอบแทนของฝ่ายต่าง ๆ เป็นต้น
และเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ที่มาของกฎระเบียบที่จะใช้นี้ควรมาจากการตกลงร่วมกันของกลุ่มผู้ทำงาน มิใช่ถูกกำหนดมาจากภายนอก และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพความเป็นจริง
(3.2) การประชุม ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า การประชุมเป็นวิธีการสำคัญในการดำเนินงานแบบประชาธิปไตย นอกจากนั้น การประชุมยังสามารถทำหน้าที่เป็นกลไกการควบคุมความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานอีกด้วย
(3.3) การประเมินผล การประเมินผลก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการควบคุม เนื่องจากได้มีการระบุระยะเวลาและเป้าหมายที่แน่นอนของการประเมินผลเอาไว้ อย่างไรก็ตาม การประเมินผลในงานวิทยุชุมชนก็ไม่ควรเน้นท่าทีที่จะวัดแต่ “ความสำเร็จ/ความล้มเหลว” มากจนเกินไป แต่ควรมุ่งที่ ”การเรียนรู้ร่วมกัน” เพื่อมิให้ทำลายขวัญและกำลังใจของคนทำงาน
(3.4) ระบบการตรวจสอบ ในบางมิติของการบริหารจัดการเช่น การเงิน/บัญชี/งบประมาณ ควรมีระบบการตรวจสอบทั้งจากภายนอกและภายใน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการทำงาน
อนึ่งมีข้อน่าสังเกตจากผลการวิจัยที่ผ่านมาว่า เนื่องจากในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านนี้ ยังมีกลไกการควบคุมหลายแบบที่นำเอากฎระเบียบของวิทยุแบบเดิม ๆ มาใช้กับวิทยุชุมชน ซึ่งกฎระเบียบบางข้อนั้นเข้ากันไม่ได้ มีลักษณะลักลั่น หรืออาจเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายของวิทยุชุมชนเลย ตัวอย่างเช่น กฎระเบียบเรื่องการสอบใบผู้ประกาศ ซึ่งหากในด้านหนึ่งวิทยุชุมชนมีเป้าหมายที่จะเปิดกว้างให้ประชาชนในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม แต่ในอีกด้านหนึ่งก็กลับมีประตูกั้นเรื่องการสอบใบประกาศ ทำให้เกิดลักษณะการควบคุมที่ขัดแย้งกันเอง หรือกฎเกณฑ์ที่ต้องพูดภาษากลาง ไม่ให้พูดภาษาถิ่นในการจัดรายการ ก็ทำให้เป้าหมายเรื่องการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นไปไม่ได้
จึงมีข้อเสนอแนะให้มีการแก้ไขกลไกการควบคุมแบบเดิม หรือสร้างกลไกการควบคุมตามแบบของวิทยุชุมชนขึ้นมาใช้ใหม่ โดยไม่ต้องหยิบยืมจากระบบวิทยุเดิม
1.5.4 หลักการผลิตเนื้อหาและรูปแบบรายการ
ผลงานที่เป็นรูปธรรมที่สุดของวิทยุชุมชนก็คือ ตัวเนื้อหาและรูปแบบรายการวิทยุชุมชน ซึ่งสามารถจะสะท้อนย้อนกลับไปให้เห็นถึงองค์ประกอบทุกอย่างของวิทยุชุมชน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการ เป้าหมาย/นโยบาย/แผนงาน/ฯลฯ และก็ยังส่องมองไปข้างหน้าให้เห็นถึงความนิยมในการเปิดรับฟังของชาวบ้าน ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่ชุมชน การแสดงบทบาทหน้าที่ของวิทยุชุมชนตามที่คาดหวังไว้
สำหรับในเนื้อหาส่วนนี้ จะกล่าวถึงหลักเกณฑ์คร่าว ๆ ของการผลิตเนื้อหาและรูปแบบรายการเท่านั้น ส่วนรายละเอียดของการผลิตนั้นจะอยู่ในเนื้อหาส่วนที่ 2 ของคู่มือนี้
เนื้อหารายการ รูปแบบรายการ
|
ประเภทเนื้อหา
|
หลักการเลือกเนื้อหา
|
หลักการเลือกรูปแบบรายการ
|
ประเภทรูปแบบรายการ
|
การจัดแบ่งประเภทด้วยเกณฑ์ต่าง ๆ
|
(1) มีเนื้อหาอะไรบ้างในรายการวิทยุชุมชน
ผลจากการสำรวจเนื้อหาวิทยุชุมชนจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์พบว่า มีเนื้อหาประเภทต่าง ๆ ดังนี้
· เนื้อหาที่เกี่ยวกับการทำมาหากิน เช่น การเกษตร แรงงาน เศรษฐกิจ
· เนื้อหาด้านการปกครอง เช่น กฎหมาย การเมือง
· เนื้อหาด้านสังคม – วัฒนธรรม – ศาสนา เช่น ปัญหาสังคม
· เนื้อหาด้านการศึกษา เช่น ความรู้ต่าง ๆ วิทยาการทันโลก
· เนื้อหาด้านสุขภาพอนามัย
· เนื้อหาด้านศิลปะ/ความบันเทิง
· เนื้อหาด้านสิ่งแวดล้อม
· เนื้อหาด้านการท่องเที่ยว
· เนื้อหาอื่น ๆ เช่น พยากรณ์อากาศ
(2) การแบ่งประเภทของเนื้อหา
จากประเภทเนื้อหาที่ระบุมาข้างต้นนั้น ในทางปฏิบัติ อาจจะนำมาจัดแบ่งประเภทโดยใช้เกณฑ์หลาย ๆ แบบเป็นตัวแบ่ง เช่น
· ใช้เกณฑ์เรื่องสาระ/บันเทิงเป็นตัวแบ่ง ซึ่งจะแบ่งเนื้อหาทั้งหมดออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
(i) เนื้อหาประเภทที่มุ่งให้สาระ ได้แก่เนื้อหาที่เป็นข้อมูลข่าวสาร เป็นเรื่องราวที่เป็นจริง เป็นเนื้อหาที่ให้ความรู้แบบต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น รายการข่าว รายการสารคดี ความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
(ii) เนื้อหาประเภทให้ความบันเทิง ได้แก่เนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องราวที่สนุกสนาน รื่นเริง สร้างความรู้สึกผ่อนคลายหรือเร้าอารมณ์ความรู้สึก เช่น เนื้อหาที่เป็นเพลง กีฬา เป็นต้น
· ใช้เกณฑ์เรื่องเนื้อหาภายใน/ภายนอกชุมชน ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า วิทยุชุมชนนั้น แตกต่างจากวิทยุสาธารณะตรงที่มีเนื้อหาเรื่องราวเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชุมชนเป็นหลัก ดังนั้น เราจึงอาจจัดแบ่งเนื้อหาออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
(i) เนื้อหาภายในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นรายการท้องถิ่น ความรู้ด้านการทำมาหากินในท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมของชุมชน ฯลฯ
(ii) เนื้อหาภายนอกชุมชน ก็เป็นเนื้อหาจากโลกภายนอก
สำหรับเป้าหมายของการแบ่งประเภทของเนื้อหาออกตามเกณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้ มิใช่เป็น “การแบ่งก็เพื่อแบ่งให้รู้เท่านั้น” แต่การแบ่งประเภทของเนื้อหานั้น กระทำไปเพื่อใช้ติดตามตรวจสอบสัดส่วนของเนื้อหาประเภทต่าง ๆ เพื่อดูสมดุลระหว่างเนื้อหาประเภทต่าง ๆ และเพื่อตรวจสอบว่า วิทยุชุมชนได้แสดงบทบาทตรงกับเป้าหมายที่คาดเอาไว้หรือไม่ เช่น หากปริมาณของเนื้อหาภายนอกชุมชนมีสูงจนไม่ได้สัดส่วนกับเนื้อหาภายในชุมชน ก็หมายความว่า วิทยุชุมชนนั้นไม่ได้ “เป็นของ” ชุมชนเสียแล้ว เป็นต้น
(3) กระบวนการและหลักเกณฑ์การคัดเลือกเนื้อหาเพื่อผลิตรายการ
ดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า เนื้อหารายการนั้นก็คือตัวบ่งชี้ที่เป็นรูปธรรมว่า วิทยุชุมชนได้ดำเนินการบรรลุเป้าหมายสูงสุด คือการตอบสนองความต้องการของชุมชนและการเป็นเครื่องมือพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง และเพื่อให้ได้มาซึ่งเนื้อหารายการที่พึงประสงค์นั้น จะมีกลไกและกระบวนการ 2 อย่างที่ต้องใช้ควบคู่กัน คือ กระบวนการได้มาซึ่งเนื้อหา และเกณฑ์ในการคัดเลือกเนื้อหา
(3.1) กระบวนการได้มาซึ่งเนื้อหา สำหรับกระบวนการได้มาซึ่งเนื้อหานั้น มี 2 ขั้นตอนที่สำคัญ ขั้นตอนแรกเป็นหลักสามัญสำนึกอย่างง่าย ๆ ว่า หากเราต้องการที่จะ “เกา” ให้ถูกที่คัน” เราก็ต้องไปสำรวจดูเสียก่อนว่า “ที่คัน” นั้นอยู่ที่ตรงไหน ดังนั้น ในการจัดทำเนื้อหารายการของวิทยุชุมชนนั้น จึงต้องมีการสำรวจความต้องการของผู้ฟังเสียก่อนว่า ต้องการจะฟังเรื่องอะไร (ดูตัวอย่างจากกรณีศึกษาของวิทยุชุมชนทดลอง ที่จังหวัดจันทบุรี)
สำหรับขั้นตอนที่สอง ก็ยังคงเป็นสามัญสำนึก (แต่มักจะไม่ค่อยได้ทำในทางปฏิบัติ) คือหลังจากที่เราได้ลงมือ “เกา” ไปแล้ว เราก็ต้องไปติดตามประเมินผลว่า “แล้วหายคันหรือเปล่า” ดังนั้น การประเมินผลรายการหลังจากที่ออกอากาศไปแล้วจึงเป็นงานที่จำเป็นต้องทำ เพื่อจะนำมาประกอบการตัดสินใจในอนาคตว่า จะเก็บรักษาเนื้อหาอะไรเอาไว้ จะเพิ่มเติมหรือลดทอดหรือตัดออกเนื้อหาอะไร
(3.2) เกณฑ์ในการคัดเลือกเนื้อหา เกณฑ์ต่อไปนี้ก็เกิดมาจากปรัชญา/ธรรมชาติ/ลักษณะสำคัญของวิทยุชุมชนนั่นเอง กล่าวคือ
· ควรเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือใกล้ตัวท้องถิ่นเป็นหลัก เกณฑ์ข้อนี้ซึ่งทำให้วิทยุชุมชนแตกต่างจากวิทยุสาธารณะ ซึ่งจะรายงานข่าวสารหรือมีเรื่องราวจากส่วนกลางเป็นส่วนใหญ่ แต่วิทยุชุมชนจะเป็นข่าวสารในท้องถิ่น ความรู้ที่อยู่ใกล้ตัว ศิลปะ/วัฒนธรรมที่ชื่นชอบตามรสนิยมของชุมชน ซึ่งการที่จัดทำเนื้อหาให้บรรลุหลักเกณฑ์ข้อนี้ได้ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากสมาชิกชุมชนอย่างกว้างขวาง เช่น การเป็นอาสาสมัครรายงานข่าวในท้องถิ่น การเป็นแหล่งข้อมูลด้านความรู้ในท้องถิ่น
แต่ถึงแม้จะกำหนดสัดส่วนให้มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือใกล้ตัวท้องถิ่นเป็นหลักก็มิได้หมายความว่า วิทยุชุมชนจะปิดตัวจากโลกภายนอก ในทางตรงกันข้าม วิทยุชุมชนยังต้องแสดงบทบาทเป็นช่องทางหนึ่งในการพัดพาเอาข่าวสารและความรู้จากโลกภายนอกเข้ามาในชุมชนเพื่อให้ก้าวไปให้ทันกับโลก
· วิทยุชุมชนควรมีเนื้อหารวมทั้งผู้จัดรายการที่หลากหลาย ประสบการณ์จากวิทยุชุมชนที่เมือง Freiburg ประเทศเยอรมัน เคยพบว่า เมื่อทั้งคนฟังและคนจัดรายการวิทยุชุมชนเป็นคนกลุ่มเดียวกันที่ผลัดบทบาทเล่นไปมา ก็เกิดความต้องการที่ขัดแย้งกัน กล่าวคือเวลาเป็นคนฟังก็อยากจะให้มีรายการที่ชัดเจนเฉพาะเจาะจงไปเลย แต่เวลาเป็นคนจัดก็อยากจะให้มีคนหลาย ๆ กลุ่มมาฟัง ถ้ามีเพียงรายการเดียว ก็ต้องจัดให้เป็นแบบกว้าง ๆ เอาใจคนฟังทุกกลุ่ม ทางแก้ปัญหาสำหรับความขัดแย้งนี้ก็คือ การจัดให้มีหลาย ๆ รายการ แต่ละรายการมุ่งเฉพาะสำหรับกลุ่มผู้ฟังแต่ละกลุ่ม และต้องมีการตรวจสอบติดตามให้แน่ใจว่า วิทยุชุมชนนั้นมีรายการสำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ
สำหรับเงื่อนไขที่จะทำให้หลักเกณฑ์การคัดเลือกเนื้อหาข้อนี้เป็นไปได้จริงก็คือ ต้องมีช่วงเวลาการออกอากาศที่มากพอสมควร ตัวอย่างเช่น รายการวิทยุชุมชนของจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีถึง 10 รายการ
รายการ
|
เวลาออกอากาศ
|
วัน
|
เนื้อหา
|
1. คติธรรมประจำวัน
|
05.00 – 05.15
|
ทุกวัน
|
ธรรมะ
|
2. ทันข่าวเช้าวันนี้
|
05.15 – 06.00
|
ทุกวัน
|
ข่าวทั่วไป
|
3. บอกกล่าวเล่าแจ้ง
|
06.30 – 07.00
|
ทุกวัน
|
ข่าวท้องถิ่น
|
4. ร่วมคิดร่วมคุย
|
10.00 – 11.00
|
ทุกวัน
|
เวทีพูดคุยประเด็น
ต่างๆ
|
5. ฟันธงตรงประเด็น
|
11.00 – 12.00
|
จ.-ศ.
|
วิจารณ์การเมือง
|
6. ระฆังใจ
|
13.00 – 14.00
|
จ.-ศ.
|
เพลง
|
7. พูดจาภาษาช่าง
|
14.00 – 14.30
|
จ.-ศ.
|
ช่าง/อาชีพ
|
8. เสียงจากชุมชน
|
17.00 – 18.00
|
ทุกวัน
|
ร้องทุกข์
|
9. ดีเจเยาวชน
|
18.00 – 19.00
|
ทุกวัน
|
เยาวชน
|
10. ภูมิปัญญาชาวบ้าน
|
21.00 – 22.00
|
ทุกวัน
|
ความรู้ของชาวบ้าน
|
· จัดสรรช่วงเวลาให้เหมาะกับวิถีชีวิตของกลุ่มเป้าหมาย จากตัวอย่างรายการวิทยุชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์ที่ยกมาแสดงให้เห็น จะชี้ให้เห็นว่า การจัดสรรช่วงเวลานั้นเหมาะสมกับวิถีชีวิตประจำวันของกลุ่มเป้าหมาย กล่าวคือ รายการข่าวจะเป็นช่วงเวลาเช้า ก่อนที่กลุ่มผู้ใหญ่จะออกจากบ้านไปทำงาน
ในส่วนที่เกี่ยวกับช่วงเวลาออกอากาศนี้ ยังมีข้อควรพิจารณาอีก 2 ประการคือ การจัดช่วงเวลาโดยดูสื่อคู่แข่งอื่น ๆ เช่น ผลการวิจัยผู้รับฟังกลุ่มวิทยุชุมชนจังหวัดระยองเสนอว่า รายการที่ดี ๆ ของวิทยุชุมชนไม่ควรไปอยู่ชนกับเวลาของละครโทรทัศน์ เป็นต้น
นอกจากนั้น เนื้อหารายการจะเป็นที่น่าสนใจเมื่อมีลักษณะสอดคล้องกับกาลเวลาหรือฤดูกาล เช่น เมื่อถึงฤดูร้อน รายการความรู้เพื่อสุขภาพก็ควรเป็นโรคที่มักเป็นในฤดูร้อน เป็นต้น
การคัดเลือกเนื้อหาให้เหมาะสมกับช่วงเวลานั้น จำเป็นต้องมีการสำรวจวิถีชีวิตของคนแต่ละกลุ่มในชุมชน รวมทั้งสอบถามความต้องการของผู้ฟังในเรื่องช่วงเวลาออกอากาศประกอบไปด้วย
· ควรคัดเลือกเนื้อหาให้สอดคล้องหรือแสดงออกซึ่งความเชื่อ/ภูมิปัญญา/วัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น ประเด็นที่เป็นปัญหามากที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ข้อนี้ก็คือ ควรใช้ภาษากลางหรือภาษาท้องถิ่นในนำเสนอเนื้อหา รายงานการวิจัยบางชิ้นระบุว่า ผู้ฟังมีความเห็นว่า น่าจะมีการใช้ภาษาท้องถิ่น เพราะจะทำให้ฟังง่าย รู้สึกใกล้ชิด และไม่เป็นทางการมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่นอนตายตัว และคงต้องสำรวจความชื่นชอบในแต่ละท้องที่ ในแต่ละประเภทรายการ
สำหรับเนื้อหาที่แสดงออกซึ่งภูมิปัญญาหรือวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นนั้น จะทำให้วิทยุชุมชนในแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ในทางภาคใต้ ก็คงมีรายการโนห์รา ในขณะที่ทางภาคเหนือก็คงจะมีรายการค่าวซอ หลักเกณฑ์ข้อนี้จะเอื้ออำนวยให้วิทยุชุมชนเป็นช่องทางในการแสดงออกซึ่งตัวตนของแต่ละท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี
· หลักเรื่อง “ความสมดุล” ดูเหมือนจะเป็นหลักการสำคัญประการหนึ่งในการพิจารณาคัดเลือกเนื้อหา กล่าวคือ ไม่ควรให้มีแต่เนื้อหาที่ “สะท้อนปัญหา” แต่ควรมีเนื้อหาที่มีวิธีการ “แก้ไขปัญหา” ด้วย อย่าให้มีแต่เนื้อหาที่ “จับผิดหน่วยงานราชการต่าง ๆ” แต่ควรจะมีเนื้อหาที่ “ชมเชยและสร้างสรรค์” อย่าให้มีแต่เนื้อหาเรื่อง “การเมือง” เท่านั้น แต่ควรจะมีเรื่องผ่อนคลายเช่นศิลปวัฒนธรรมและศีลธรรมศาสนาด้วย เป็นต้น
(4) รูปแบบรายการและวิธีการนำเสนอ
รูปแบบรายการที่จะนำมาใช้ในวิทยุชุมชนนั้น สามารถมีได้อย่างหลากหลาย โดยที่แต่ละรูปแบบรายการต่างก็มีเป้าหมายเฉพาะ มีลักษณะเฉพาะ มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ มีการเปิดโอกาสให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมมากน้อยต่างกัน รวมทั้งมีความยากง่ายในการผลิตแตกต่างกัน การเลือกใช้รูปแบบรายการประเภทต่าง ๆ จึงต้องคำนึงถึงปัจจัยและความพร้อมของผู้จัดด้วย
ตัวอย่างงานวิจัยวิทยุชุมชนของจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์ได้ประมวลรูปแบบรายการที่ใช้อยู่ว่ามีถึง 7 ประเภท คือ
· นิตยสารทางอากาศ
· สัมภาษณ์
· ข่าวสลับเพลง
· พูดคุยกับผู้ฟัง
· สนทนา
· พูดคุยสลับเพลง
· อภิปราย
โดยที่รูปแบบที่นำมาใช้มากที่สุดคือ รูปแบบนิตยสารทางอากาศซึ่งมีจุดเด่นตรงที่เป็นรูปแบบรายการที่มีทั้งเนื้อหาและวิธีการนำเสนอหลากหลาย แต่ทว่ารูปแบบรายการเช่นนี้ก็ต้องมีเอกภาพที่เกิดจากการกำหนดแก่นและขอบเขตของแนวเนื้อหา กำหนดกลุ่มเป้าหมายและบุคลิกเฉพาะตัวของรายการให้ได้ ซึ่งหากร้อยส่วนย่อย ๆ ของรายการเอาไว้ไม่ได้ รายการดังกล่าวก็จะแตกกระจายออกไปคนละทิศละทาง
· สำหรับหลักเกณฑ์เรื่องการคัดเลือกรูปแบบการนำเสนอรายการนั้น ควรจะคำนึงถึงเป้าหมายสูงสุด ลักษณะของวิทยุชุมชน และบทบาทที่วิทยุชุมชนพึงกระทำดังได้กล่าวมาแล้ว ดังนั้นการเลือกรูปแบบรายการที่เปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นร่วมกันของแขกรับเชิญ เช่น รายการอภิปราย หรือรูปแบบที่เปิดเป็นเวทีให้ผู้ฟังทางบ้านมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนทัศนะ ควรจะได้รับการจัดลำดับความสำคัญเอาไว้เป็นลำดับต้น ๆ
1.6 กลไกการเสริมสร้างพลังของวิทยุชุมชน
ดูเหมือนว่า “การก่อตั้งวิทยุชุมชน” ขึ้นมาให้ได้นั้น อาจะเป็นภารกิจที่ไม่ยากลำบากเท่าใดนัก แต่การจะทำให้วิทยุชุมชนที่ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วมีการเจริญเติบโตและมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแกร่งนั้น อาจจะยากยิ่งกว่า รวมทั้งการจะทำให้วิทยุชุมชนนั้นมีอายุยั่งยืนยาวนานต่อไปได้ ก็ดูเหมือนจะเป็นภารกิจที่ยากเย็นแสนเข็ญเลยทีเดียว
ดังนั้น เมื่อมีการก่อตั้งวิทยุชุมชนขึ้นมาแล้ว ภารกิจที่ท้าทายทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับวิทยุชุมชน ก็เห็นจะเป็นการแสวงหาและติดตั้งกลไกการเสริมพลังของวิทยุชุมชน
ผลจากการวิจัยเรื่องวิทยุชุมชนที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ข้อที่อ่อนที่สุดของวิทยุชุมชนก็คือ การขาดแคลนทรัพยากรที่เป็นเสมือนท่อนฟืนที่จะนำมาใส่ในวิทยุชุมชนให้ลุกโชนต่อไป ทรัพยากรที่สำคัญคือ ทรัพยากรบุคคล และทรัพยากรงบประมาณ ซึ่งทรัพยากรทั้งสองอย่างนี้ น่าจะแก้ไขได้ด้วยการเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน และจุดอ่อนอีกประการหนึ่งก็คือ การขาดการติดตามประเมินผล ดังนั้น ในที่นี้ จึงขอนำเสนอรายละเอียดของกลไก 4 ประเภทที่จะแก้ไขปัญหาที่กล่าวมานี้
1. การฝึกอบรม
|
3. การบริหารงบ
ประมาณ
|
4. การประเมินผล
อย่าง
ต่อเนื่อง
|
2. การเสริมการมีส่วนร่วมของ
ชุมชน
|
1.6.1 การฝึกอบรม
เมื่อกล่าวถึงทรัพยากรบุคคลที่จะเข้ามาเป็นส่วนประกอบในวิทยุชุมชนนั้น ความแตกต่างระหว่างวิทยุชุมชนกับวิทยุสาธารณะ/วิทยุธุรกิจโดยทั่วไปก็คือ ในขณะที่วิทยุสาธารณะ/ธุรกิจจะมีคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีลักษณะเป็นมืออาชีพเข้ามาเป็นผู้บริหารจัดการวิทยุ แต่ทว่าในวิทยุชุมชนนั้น ผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมในกิจการวิทยุจะเป็นคนกลุ่มใหญ่ ที่มีลักษณะเป็นอาสาสมัครที่มาทำวิทยุเพราะใจรักและเข้าใจในเจตนารมณ์ของวิทยุชุมชน
อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับวิทยุชุมชนจะเป็นอาสาสมัคร แต่เนื่องจากวิทยุชุมชนไม่ใช่เรื่อง “ที่ใคร ๆ ก็ทำได้/หรือเกิดมาก็ทำเป็นเลยตามธรรมชาติ/หรือเพียงแค่มีใจรักก็ทำได้แล้ว” หากทว่าเป็นเรื่องที่ต้องมีการฝึกฝนอบรมเป็นการเฉพาะ ในที่นี้เราจึงจะกล่าวถึงเรื่อง “การฝึกอบรม” ในฐานะที่จะเป็นกลไกตัวหนึ่งในการเสริมพลังเข้มแข็งให้แก่วิทยุชุมชน
การฝึกอบรม
|
1. ทำไมต้องมี
|
5. บทเรียนที่มี
|
2. จะฝึกใคร
|
3. จะฝึกอย่างไร
|
4. จะฝึกเรื่องอะไร
|
งานต่อเนื่อง
|
จาก “หัว” สู่ “ลำตัว”
|
ผูกประสานความเข้าใจร่วมกนร่วมกันวมกัน
|
งานสาธารณะ
|
กระจายอำนาจ
|
กระจายความรู้
|
(1) ทำไมต้องมีการฝึกอบรม
มีคำตอบหลากหลายประการต่อคำถามที่ว่า “ทำไมต้องมีการฝึกอบรม” ให้แก่อาสาสมัคร/คนที่จะเข้าไปทำงาน/เกี่ยวข้องกับวิทยุชุมชน
(i) กระจายอำนาจแล้ว ต้องกระจายความรู้ด้วย แม้ว่าแนวคิดเรื่อง “วิทยุชุมชน” จะมีความเป็นมาจากเรื่องการกระจายอำนาจและสิทธิด้านการสื่อสารให้แก่กลุ่มประชาชน แต่การกระจายอำนาจและสิทธินั้น ก็คงจะเป็นหมันหรือกลับส่งผลในทางลบ หากไม่มีกระบวนการกระจายความรู้ควบคู่ตามไปด้วย ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในเบื้องต้นถึงโครงสร้างที่เหมาะสมประการหนึ่งของวิทยุชุมชนที่ก็คือ ความเข้าใจในสิทธิการสื่อสารของประชาชน แต่เนื่องจากสิทธิการสื่อสารโดยเฉพาะในฐานะ “ผู้ส่งข่าวสาร” เป็นเรื่องใหม่ จึงต้องมีกลไกการฝึกอบรมมาเสริมเพิ่มเติม
(ii) งานวิทยุเป็นงานในพื้นสาธารณะ การพูดคุยทางวิทยุชุมชนไม่เหมือนกับการพูดคุยแบบธรรมดาท่ามกลางหมู่ญาติมิตร ต้องมีความระมัดระวัง ต้องมีการตรวจสอบข้อมูล เพราะเป็นการพูดให้คนหมู่มากฟังและมีผลกระทบสูงกว่าการพูดแบบธรรมดา ดังนั้นจึงต้องอบรมให้ชาวบ้านรู้จักกฎเกณฑ์และขอบเขตในการพูดในพื้นที่สาธารณะ
(iii) งานวิทยุเป็นงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกวันสม่ำเสมอ จึงต้องการทรัพยากรบุคคลจำนวนมากเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน หากงานวิทยุชุมชนไปตกอยู่ในมือของคณะกรรมการ/อาสาสมัครกลุ่มเล็ก ๆ ผลงานวิจัยเรื่องวิทยุชุมชนในหลายแห่งได้พิสูจน์แล้วว่า อนาคตของวิทยุชุมชนนั้นมักจะมีอาการ “ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต” เพราะกรรมการ/อาสาสมัครกลุ่มเล็กมักจะหมดแรงไปก่อนจะถึงเป้าหมาย การฝึกอบรมจึงเป็นกลไกการสร้าง/ขยายทรัพยากรบุคคล เพื่อการนำมาใช้จัดระบบผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน และกระจายความรับผิดชอบให้เกลี่ยกันไปในระดับที่ชีวิตชาวบ้านธรรมดาพอจัรองรับไหว
(iv) การเคลื่อนไหวจาก “หัว” สู่ “ลำคอ” เพื่อจะลง “ลำตัว ในความเป็นจริง คงต้องยอมรับว่า ทิศทางการไหลของอำนาจ/ความรับผิดชอบ/หน้าที่สิทธิของวิทยุกระจายเสียงนั้น เริ่มจากส่วนหัว คือ “หน่วยงานราชการ” และในชั้นต่อมาเมื่อมีการเปิดฉากยกแรกเรื่อง “วิทยุชุมชน” นั้น กลุ่มคนที่เข้ามาสนใจและดำเนินการวิทยุชุมชน ยังมักจะเป็น “ส่วนลำคอ” คือกลุ่มชนชั้นกลางหรือกลุ่มแกนนำในชุมชนที่มีความเข้าใจเรื่องสิทธิหน้าที่ บทบาท/ความสำคัญของวิทยุ รวมทั้งอาจมีความคุ้นเคยกับงานวิทยุ ในหลาย ๆ แห่ง กลุ่มคนที่ทำวิทยุชุมชนจึงยังคงจำกัดอยุ่ในกลุ่มชนชั้นกลางหรือผู้นำชุมชนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสุดท้ายของวิทยุชุมชนที่จะสามารถทรงตัวได้อย่างมั่นคงก็คงต้องขยับเขยื้อนให้มีการไหลจาก “ส่วนลำคอ” ลงสู่ “ส่วนลำตัว” ต่อไป ในการนี้ การฝึกอบรมจะเป็นพลังลมปราณในการขับเคลื่อนการไหลได้ส่วนหนึ่ง การฝึกอบรมจะเป็นเวที/เงื่อนไขให้ชาวบ้านได้ทำความรู้จัก/คุ้นเคยกับวิทยุชุมชน และสามารถขจัดโรคกลัวงานวิทยุสารพัดชนิดให้หายขาดได้
(v) ผูกประสานความเข้าใจร่วมกัน ดังได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า “ความเข้าใจร่วมกัน” ระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยุชุมชน (โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านจากมือรัฐมาสู่มือประชาชน) จะเป็นประดุจเชือกมัดคนทำงานให้อยู่ร่วมกัน หากเมื่อใดที่เจ้าหน้าที่รัฐยังมองว่า “วิทยุชุมชนคือแหล่งที่จับผิดข้าราชการ” หรือ ชาวบ้านรับรู้ว่า “วิทยุชุมชนเป็นพื้นที่ที่ด่าคนได้โดยเสรี” เมื่อนั่น งานวิทยุชุมชนก็ไม่มีทางไปได้ตลอดรอดฝั่ง
มีข้อน่าสังเกตว่า ทั้งที่เรื่อง “การฝึกอบรม” เป็นกลไกสำคัญอย่างยิ่งที่รับประกันการคงอยู่ของงานวิทยุชุมชน แต่สังคมไทยเกือบทุกส่วนยังมองข้ามการดำเนินการเรื่องการฝึกอบรมไปอย่างมาก ในหมู่ข้าราชการมักมีแต่การมอบหมายนโยบายให้รับไปปฏิบัติ แต่ไม่มีการเสริมอบรมความเข้าใจ โดยมีความเชื่อว่า ข้าราชการจะเข้าใจทุกๆเรื่องโดยอัตโนมัติ ในหมู่ประชาชน มักมีการระดมพลังให้เข้ามาช่วยแบกรับงาน แต่ก็ไม่มีการติดเขี้ยวเล็บทางความคิดให้เช่นกัน กล่าวโดยสรุปก็คือ สังคมไทยยังเอาใจใส่/และทำการบ้านน้อยมากในเรื่องใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น เช่นเรื่องการฝึกอบรมวิทยุชุมชน
(2) จะฝึกอบรมใครบ้าง
· คำถามที่ว่าจะฝึกใครบ้างนั้น ควรจะเป็นคำถามแรกเลยสำหรับการจัดการฝึกอบรม ทั้งนี้ เพราะการตอบคำถามได้ว่าผู้ที่จะมาเข้ารับการฝึกอบรมเป็นใครนั้น จะสะท้อนกลับไปให้เป็นเป้าหมายของการฝึกอบรม และจะเป็นตัวไปกำหนดเนื้อหาและวิธีการฝึกอบรมในชั้นต่อไป
· การที่จะคัดเลือก “ใคร” เข้ามาเป็นผู้รับการอบรมนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่างานวิทยุชุมชนกำลังต้องการระดมทรัพยากรบุคคลในระดับไหน/แบบไหน เช่น ถ้าเป็นช่วงที่กำลังมีการก่อตัวของคณะกรรมการบริหารวิทยุชุมชน ก็คงต้องฝึกอบรมกลุ่มตัวแทนที่จะเข้ามาเป็นกรรมการ หากต้องการขยายอาสาสมัครผู้สื่อข่าวท้องถิ่น ก็คงต้องฝึกอบรมกลุ่มประชาชนที่สนใจจะมาเป็นผู้สื่อข่าว เป็นต้น
· แต่ในขั้นตอนการปฏิบัติที่แท้จริง การฝึกอบรมนั้นก็ควรมีลักษณะ “กินหัว กินกลาง แล้วค่อยกินตลอดหาง” หมายความว่า ควรจะเริ่มต้นจากกลุ่มแกนนำชุมชนระดับหัว ๆ เสียก่อน แล้วค่อยขยายลงไปสู่แกนนำกลุ่มย่อย ๆ และประชาชนทั่วไป
· อย่างไรก็ตาม หลักการเรื่องความหลากหลายและสมดุลที่เป็นหลักยึดสำคัญของวิทยุชุมชนก็ยังคงต้องคำนึงถึงตลอดเวลา การเลือกตัวบุคคลมารับการฝึกอบรมนั้นจึงต้องให้ครอบคลุมคนหลายวัย หลายเพศ หลายอาชีพ ทั้งกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มพระสงฆ์ กลุ่มหัตถกรรม กลุ่มช่างตัดผม ฯลฯ
· ส่วนกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มักถูกมองข้ามไปคือกลุ่มข้าราชการ เพราะความเข้าใจว่า “เป็นข้าราชการแล้วต้องเข้าใจเรื่องใหม่ ๆ ได้ทุกเรื่องที่มีนโยบายสั่งมา” ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ฉะนั้นควรมีการฝึกอบรมเรื่องวิทยุชุมชนให้แก่ข้าราชการด้วย
· การกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรม คุณสมบัตินี้ควรจะต้องสอดรับกับเป้าหมาย/ภารกิจของผู้เข้าอบรม โดยอาจมีคุณสมบัติพื้นฐานบางอย่างร่วมกัน เช่น การเป็นบุคคลที่มีจิตสาธารณะ (ชอบทำกิจการเพื่อส่วนรวม) และมีจิตใจรัก/สนใจงานวิทยุ เป็นต้น แต่ควรมีการกำหนดคุณสมบัติผู้ที่จะเข้ารับการอบรมทุกครั้งเพื่อให้เกิด “การถูกฝาถูกตัว”
ตัวอย่างของคุณสมบัติของคนที่จะเข้ารับการฝึกอบรม “การเป็นผู้จัดรายการ” เช่น ต้องพูดจาชัดเจน/ฉะฉาน/มีไหวพริบ/มีทักษะการฟังที่ดี/สุภาพ เป็นต้น
(3) จะฝึกเรื่องอะไร
(ดูรายละเอียดในกรณีศึกษาของวิทยุชุมชนปัตตานี)
เนื้อหาที่จะใช้ฝึกอบรมนั้น ต่อเนื่องจากมาจากคำถามที่ว่า เป้าหมายของการฝึกอบรมนั้นมุ่งหวังจะให้ผู้รับการอบรมไปปฏิบัติภารกิจหน้าที่อะไร เช่น
· ไปเป็นผู้ฟังที่เอาการเอางาน (active)
· เป็นผู้สื่อข่าวท้องถิ่น
· เป็นผู้ดำเนินรายการ (DJ)
· เป็นผู้ผลิตรายการ
· ผู้บริหาร/คณะกรรมการวิทยุชุมชน
เนื้อหาที่จะจัดให้ ก็จะสอดคล้องกับภารกิจของผู้เข้ารับการอบรม
เราอาจจะประมวลหมวดหมู่ของเนื้อหาที่จะใช้ในการอบรมวิทยุชุมชนออกได้เป็น 3 หมวดใหญ่ ๆ คือ
(i)หมวดที่เกี่ยวกับความรู้/ความเข้าใจทั่วไป ตัวอย่างเนื้อหาในหมวดนี้ก็เช่น
· แนวคิด/ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวิทยุชุมชน (หัวข้อนี้ ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องทุกคนกับวิทยุชุมชนควรจะผ่านการอบรมมา)
· พัฒนาการของวิทยุชุมชนในต่างประเทศ/ประเทศไทย
· สถานการณ์การปฏิรูปสื่อในสังคมไทย
· บทบาทหน้าที่ประโยชน์ของวิทยุชุมชนกับสังคมไทย
· การเตรียมประชาชนเพื่อการปฏิรูปสื่อและวิทยุชุมชน
ฯลฯ
(i) หมวดที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการวิทยุชุมชน ได้แก่เนื้อหาที่อยู่ในคู่มือเล่มนี้ เช่น
· ภาวะการเป็นผู้นำ
· โครงสร้างการบริหารจัดการวิทยุชุมชน
· การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
· การบริหารจัดการงบประมาณ
· หลักการวางเป้าหมาย/นโยบาย/แผนงาน
ฯลฯ
(ii) หมวดที่เกี่ยวกับความรู้เชิงเทคนิคระดับการผลิตรายการ
· หลักการผลิต/พัฒนา/วิจัยรายการ
· การเป็นผู้ผลิตรายการ
· การเป็นผู้จัดรายการ (หลักการพูดในที่สาธารณะ)
· การเป็นผู้สื่อข่าวท้องถิ่น (เทคนิคการหาข่าว/การสัมภาษณ์)
ฯลฯ
(4) จะฝึกอย่างไร
สำหรับรูปแบบการฝึกอบรมนั้น สามารถทำได้อย่างหลากหลาย และยังสามารถคิดริเริ่มสร้างสรรค์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างที่จะยกมาที่นี้เป็นการริเริ่มของทีมวิจัยวิทยุชุมชนปัตตานีที่มีอาจารย์ชาลิสา มาแผ่นทอง เป็นนักวิจัย
(i) การฝึกอบรมแบบทั่วไป ที่ผู้จัดมีการเตรียมสถานที่ฝึกอบรม เนื้อหา วิธีการ/กระบวนการ อุปกรณ์ เอาไว้ให้เสร็จเรียบร้อย แล้วคัดเลือกผู้เข้ารับการอบรมมาเรียนรู้ตามหลักสูตรที่เตรียมเอาไว้ ตัวอย่างเช่น การอบรมผลิตรายการวิทยุชุมชนแบบ BBC ที่มีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับวิธีการผลิตรายการวิทยุและการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ในการจัดรายการวิทยุ การฝึกอบรมแบบนี้ มักต้องเตรียมสถานที่เป็นสถานีวิทยุจริง ๆ เพื่อให้ผู้รับการอบรมรู้จักและคุ้นเคยกับเครื่องมือ วิธีการอบรมมักจะใช้การบรรยายประกอบกับการลงมือปฏิบัติงานจริง เพราะเป็นเนื้อหาในเชิงเทคนิค
(ii) การจัดเวทีสัญจร เป็นวิธีการจัดอบรมที่ทีมผู้จัดจะสัญจรไปใช้สถานที่จัดในชุมชนเพื่อให้แกนนำชุมชนหรือคนในชุมชนมีโอกาสได้เข้าร่วมได้มากที่สุด เนื้อหาการอบรมมักจะเป็นเรื่องแนวคิด/ความเข้าใจเกี่ยวกับวิทยุชุมชน หรือการบริหารจัดการวิทยุชุมชน วิธีการจัดนั้น อาจจะใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกัน เช่น ให้คนในชุมชนเล่าประวัติของหมู่บ้านและรูปแบบการสื่อสารของชุมชน มีการบรรยายแนวคิด และมีการแบ่งกลุ่มย่อยให้ระดมสมอง เป็นต้น
(iii) การจัดเวทีเสวนา มีเป้าหมายคล้ายการจัดเวทีสัญจร แต่ทว่าจะเน้นกิจกรรมที่ให้สมาชิกได้ร่วมมือกันอย่างจริงจัง เช่น เนื้อหาการอบรมเพื่อเตรียมการจัดตั้งวิทยุชุมชน รูปแบบการจัดนั้น อาจจะใช้รูปแบบการเชิญวิทยากรที่มีบทบาทเกี่ยวข้องหรือมีประสบการณ์โดยตรงกับงานวิทยุชุมชนมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เข้าอบรม มีการแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อปฏิบัติงานจริง และมีข้อเสนอรวมทั้งแผนการดำเนินงาน
(iv) การเรียนรู้ระหว่างลงมือทำจริง (On-the-job training) รูปแบบการฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพมากอีกรูปแบบหนึ่งคือการเรียนรู้ระหว่างลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งทีมวิจัยวิทยุชุมชนปัตตานีได้ทดลองทำตามขั้นตอนดังนี้คือ
การประชุมพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันเรื่องวิทยุชุมชน 3-4 ครั้ง |
ทดลองปฏิบัติจัดรายการร่วมกับทีมวิจัย
|
จดบันทึกว่ามีปัญหาอะไรบ้างระหว่างการทำงาน
|
นำเอาปัญหามาช่วยทบทวนร่วมกันในกลุ่ม
|
กลับไปแก้ไข/ลงมือปฏิบัติอีก
|
เสนอแนะ แก้ไข
|
ผลจากการฝึกอบรมแบบนี้ จะช่วยให้ผู้เข้าอบรมมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น ได้สัมผัสกับประสบการณ์จริง ๆ แต่ทว่าวิธีการฝึกแบบนี้ก็มีเงื่อนไขว่า ผู้เข้าอบรมควรมีพื้นฐานความเข้าใจเรื่องงานวิทยุชุมชนมาบ้างแล้ว
(5) บทเรียนของการฝึกอบรมที่สำเร็จ/ล้มเหลว
ผลจากการวิจัยเรื่องวิทยุชุมชนที่ผ่านมาให้บทเรียนบางประการเกี่ยวกับการฝึกอบรมด้านวิทยุชุมชนดังนี้
· ต้องระมัดระวังวิธีให้เนื้อหาที่เป็นวิชาการมากเกินไป ซึ่งมักจะเป็นข้อคิดเห็นอันดับแรก ๆ เมื่อมีการประเมินผลผู้รับการอบรม ทั้นี้เนื่องจากวิทยากรที่เชิญมามักจะเป็นนักวิชาการหรือนักวิชาชีพสื่อมวลชน ดังนั้นจึงต้องมีการแปลง “ภาษาวิชาชีพ” ให้เป็น “ภาษาที่ชาวบ้านฟังเข้าใจได้”
· รูปแบบการสื่อสารแบบสองทางจะให้ผลดีมากกว่าการสื่อสารแบบทางเดียว ดังนั้นการฝึกอบรมจึงไม่ควรมีแต่ช่วงที่วิทยากรมาพูดแล้วผู้รับการอบรมนั่งฟังตลอดทั้งรายการ แน่นอนว่าการรับฟังความรู้จากวิทยากรเป็นรูปแบบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ควรจัดรูปแบบการอบรมให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การประชุมกลุ่มย่อย การซักถามข้อข้องใจ การระดมสมอง ฯลฯ ผสมผสานด้วย
· จัดอบรมต้องประกบด้วยกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการอบรมด้วยเนื้อหาแบบใดก็ตาม ควรจะมีการมอบหมายให้ผู้เข้าอบรมไปทดลองทำกิจกรรมจริง ๆ หลังจบแล้ว เช่น ไปทดลองจัดวิทยุจริง ๆ ไปลองประชาสัมพันธ์วิทยุชุมชน ไปขยายเครือข่าย ฯลฯ แล้วนำผลการทำกิจกรรมมาทบทวนอีกครั้ง
· การจัดอบรมจะได้ผลดีอย่างมาก หากชุมชน/ผู้เข้าอบรมมีความต้องการการอบรมอย่างแท้จริง เช่น มีการเรียกร้องให้อบรม และหากมีการ “ตัดเย็บ” หลักสูตรการอบรมให้เข้ากับลักษณะของชุมชน ก็จะยิ่งได้ผลดียิ่งขึ้น
· บรรยากาศในการอบรมก็เป็นส่วนประกอบให้การอบรมได้ผลดีหรือล้มเหลว การลงไปจัดเวทีสัญจรในหมู่บ้าน จะทำให้ได้บรรยากาศที่เป็นกันเอง เกื้อหนุนให้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนอย่างเป็นกันเอง
· มีข้อควรคำนึงว่า การจัดฝึกอบรมนั้น จะทำเพียงครั้งเดียวแล้วก็เลิกกันนั้น มักจะไม่ได้ผล จึงควรมีการวางแผนการฝึกอบรมเอาไว้เป็น “ชุด” หรือมีการชุมนุมศิษย์เก่าเพื่อย้อนกลับมาทบทวนความหลังเป็นระยะ ๆ โดยใช้สูตร action/reflection (คิด-ทำ-คิด-ทำ…) สลับฟันปลากันไป
1.6.2 การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน
ทำไมต้อง “การมีส่วนร่วม” |
การมีส่วนร่วมของวิทยุชุมชน
|
คำตอบเชิงหลักการ
|
คำตอบเชิงปรัชญา
|
คำตอบเชิงปฏิบัติ
|
ตัวอย่างกิจกรรม
|
ระดับของการมีส่วนร่วม
|
(1) ทำไมต้อง “การมีส่วนร่วม”
· คำตอบเชิงปรัชญา
หากเราระบุให้มีเพียงคำตอบเดียวต่อคำถามที่ว่าวิทยุชุมชนนั้นมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากวิทยุสาธารณะ/วิทยุธุรกิจอย่างไร คำตอบที่ดูเหมือนจะต้องเลือกก็คือ วิทยุชุมชนนั้นเป็นวิทยุที่เปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมของผู้คนมากที่สุด เนื่องจากเป็นวิทยุที่ดำเนินงานโดย ของ และเพื่อประชาชนนั่นเอง
· คำตอบเชิงหลักการ
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า เป้าหมายสูงสุดประการหนึ่งของวิทยุชุมชนก็คือการผลิตเนื้อหารายการเพื่อตอบสนองความต้องการในงานพัฒนาของชุมชน การตอบสนองความต้องการนั้น จะเป็นไปไม่ได้เลยหากชุมชนไม่เข้ามามีส่วนร่วม มาร่วมสะท้อนความต้องการ มาบอกเล่าเก้าสิบว่าชุมชนคาดหวังอะไร รวมทั้งมาคอยช่วยประเมินผลวิทยุชุมชนด้วย
· คำตอบภาคปฏิบัติ
นอกเหนือจากเหตุผลเชิงหลักการ/ปรัชญาที่ว่า “วิทยุชุมชนเป็นวิทยุของทุก ๆ คนจึงต้องให้ทุกคนมีส่วนร่วมแล้ว” แม้แต่เหตุผลในทางปฏิบัติก็ยังต้องการหลักการมีส่วนร่วมของชุมชนอยู่ดี ดังตัวอย่างงานวิจัยวิทยุชุมชนหลายแห่งที่มีอาการเหมือนผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ แปลก ๆ ของไทย คือจะครึกครื้นเฟื่องฟูในระยะเริ่มแรก แล้วก็ค่อย ๆ ซบเซาในระยะต่อมา จนกระทั่งฟุบหายไปในตอนท้าย ชะตากรรมของวิทยุชุมชนก็อาจจะเป็นเช่นนั้น
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า งานวิทยุเป็นงานที่ต้องทำทุกวัน ทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในการจัดทำต้องมีการเตรียมตัว มีการประสานผู้คน ค้นหาข้อมูล ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้แรงงานคน แรงงานสมอง กำลังกาย และเวลาทั้งนั้น ดังนั้น หากงานวิทยุชุมชนรวมศูนย์อยู่ในกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน ในไม่ช้า คนกลุ่มนั้นก็ต้องหมดแรงที่จะยืนหยัดต่อไปได้ ทางออกทางเดียวก็คือต้องมีกลุ่มอาสาสมัครกลุ่มใหญ่ที่จะมีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาแบกรับความรับผิดชอบ (ดูกรณีศึกษาของอาสาสมัครได้จากวิทยุชุมชน จ.บุรีรัมย์)
ปัญหาการขาดทรัพยากรกำลังคนในการดำเนินงานวิทยุชุมชนจึงจะแก้ไขได้ด้วยการใช้กระบวนการขยายการมีส่วนร่วมของเครือข่าย/อาสาสมัครเท่านั้น แผนการขยายเพื่อนร่วมงานจึงเป็นหลักประกันอันหนึ่งของอายุอันยืนยาวของวิทยุชุมชน
· ตรวจสอบว่าคนทุกกลุ่มได้มีส่วนร่วม ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ในสภาพความเป็นจริงการเลื่อนไหลของวิทยุชุมชนในสังคมไทยปัจจุบัน ยังคงเลื่อนมาจากระดับ “หัว” สู่ “ลำคอ” เท่านั้น กล่าวคือ กลุ่มคนที่เข้าไปมีบทบาทในวิทยุชุมชน ยังคงเป็นกลุ่มชนชั้นกลางที่มีการศึกษาดี มีความเข้าใจเรื่องสิทธิการสื่อสาร ก้าวต่อไปของวิทยุชุมชนจึงควรเป็นการผลักดันให้การเลื่อนไหลนี้ลงไปสู่ลำตัวซึ่งเป็นฐานรากเพื่ออนาคตอันมั่นคงของวิทยุชุมชนในสังคมไทย
(2) ระดับต่าง ๆ ของการมีส่วนร่วม
สำหรับแนวคิดการสื่อสารแบบมีส่วนร่วมนั้น ได้แบ่งระดับการมีส่วนร่วมในการสื่อสารของประชาชนเอาไว้ 3 ระดับ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับกรณีของวิทยุชุมชนดังนี้
· การมีส่วนร่วมในระดับผู้นำ
· การมีส่วนร่วมในฐานะผู้ร่วมผลิตรายการ
· การมีส่วนร่วมในฐานะผู้บริหาร/ผู้วางแผน/นโยบาย
ในแต่ละระดับนั้น ยังคงเปิดกว้างต่อการริเริ่มสร้างสรรค์ของวิทยุชุมชนในแต่ละแห่งว่า จะพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมในแต่ละระดับได้อย่างไรบ้าง ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วที่จะนำมาเสนอในที่นี้
(i) การมีส่วนร่วมในระดับผู้ฟัง
ผู้ฟังวิทยุชุมชนจะไม่เป็นเพียง “ผู้ฟังเฉย ๆ” แต่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่
· รับฟังอย่างสม่ำเสมอ
· รายงานผลการฟังให้ทางผู้จัดรายการทราบ
· ติชม/เสนอแนะ/ประเมินผลรายการ
· โทรศัพท์เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นในรายการ
· จดหมายมาเสนอแนะหัวข้อ/ประเด็นเนื้อหา/ประเด็นปัญหา
· เป็นตัวแทนส่งข่าวสาร/ร่วมแจ้งข่าวสาร/ตรวจสอบข่าวสารกับพื้นที่
· ร้องทุกข์/ร้องเรียนปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน
· ร่วมงานเวทีสัญจร/กิจกรรมต่าง ๆ ของวิทยุชุมชน / ช่วยจัดหาทุนสนับสนุน
· เสนอแนะรูปแบบรายการ
· ช่วยประชาสัมพันธ์วิทยุชุมชน
ฯลฯ
(ii) การมีส่วนร่วมในระดับผู้ผลิตรายการ/ผู้ดำเนินรายการ
เป็นระดับการมีส่วนร่วมที่สูงขึ้นมา ซึ่งมีได้หลายรูปแบบตามความสนใจและโอกาสเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยของประชาชน เช่น
· เป็นอาสาสมัครทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวท้องถิ่น ส่งข่าวสาร (แบบวิทยุ จส.100) โดยคัดเลือกเนื้อหาข่าวสารที่น่าสนใจมาให้
· ช่วยเป็นแหล่งข้อมูลประจำสำหรับการแนะนำวิทยากร/แขกรับเชิญในพื้นที่
· ทำหน้าที่เป็นแขกรับเชิญ/วิทยากร/ผู้ให้สัมภาษณ์แบบบางโอกาสหรือแบบประจำ
· เข้ามาเป็นผู้ร่วมผลิตรายการ ในแง่ของการช่วยเลือกประเด็น เลือกแง่มุม ช่วยรวบรวมข้อเท็จจริง ซึ่งจะมีบทบาททั้งในขั้นตอนก่อน/ระหว่าง/หลังการผลิต ซึ่งอาจอยู่ในฐานะอนุกรรมการ/คณะกรรมการผลิตเนื้อหารายการ
· หากมีความถนัด/มีความสนใจ/มีประสบการณ์และมีเวลาเอื้ออำนวยก็อาจจะเข้ามาเป็นผู้ดำเนินรายการได้เลย
ฯลฯ
(iii) การมีส่วนร่วมในระดับบริหารงาน
การมีส่วนร่วมในระดับนี้ถือเป็นขั้นสูงสุดของการมีส่วนร่วม ตัวอย่างเช่นการเข้ามาเป็นคณะกรรมการบริหารวิทยุชุมชน ซึ่งจะมีบทบาทหลากหลายอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เช่น
· เป็นผู้วางแผนและนโยบายเกี่ยวกับวิทยุชุมชน
· เป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะทำงานฝ่ายต่าง ๆ
· เป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับการเพิ่ม/ลดช่วงเวลาออกอากาศ/เนื้อหา
· เป็นผู้วางแผนกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาวิทยุชุมชน
ฯลฯ
มีข้อเสนอที่น่าสังเกตเกี่ยวกับระดับการมีส่วนร่วมทั้ง 3 ระดับนี้ดังนี้
· รูปแบบของการเข้ามามีส่วนร่วมในแต่ละระดับขั้นจะมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมปิรามิด กล่าวคือ จำนวนคนที่จะเข้าไปร่วมในระดับผู้ฟังจะมีได้มาก ในระดับผู้ผลิตรายการจะมีได้น้อยลง และในระดับผู้บริหารจะมีคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น
ระดับผู้บริหาร |
ระดับผู้ผลิตรายการ
|
ระดับผู้ฟัง
|
· จากผลการวิจัยเรื่องวิทยุชุมชนที่ผ่านมา มีความเข้าใจผิดว่า ถ้าจะเข้าไปมีส่วนร่วมในวิทยุชุมชน ก็ต้องเข้าไปร่วมเป็น “ผู้จัดรายการ” เท่านั้น ซึ่งการเข้าร่วมในระดับดังกล่าวมีเงื่อนไขและข้อจำกัดมากมาย ดังนั้น จึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบหลากหลายของการมีส่วนร่วมในระดับต่าง ๆ โดยเฉพาะระดับผู้ฟังที่ได้กล่าวมาแล้ว
· เมื่อนำแนวคิดเรื่อง “การมีส่วนร่วม” ไปประกอบกับแนวคิดเรื่อง “การฝึกอบรม” และนำมาผสมผสานกับความคิดเรื่อง “การหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกัน” ก็จะทำให้วิทยุชุมชนมีกองทัพอาสาสมัครจำนวนมหาศาลที่มีความสามารถที่จะกระจายหมุนเวียนกันเข้าไปแบกรับภารกิจของวิทยุชุมชนได้อย่างยาวนาน และเมื่อนั้นวิทยุชุมชนก็จะไปไม่เป็นเพียง “ของเล่นชั่วคราว” แต่จะเป็น “ปากเสียงของชุมชนตลอดไป”
· และเมื่อมีกองทัพอาสาสมัครจำนวนมากที่เข้ามามีส่วนร่วมในงานวิทยุ ในพื้นที่ที่มีความพร้อม รูปแบบระดับสูงของวิทยุชุมชนที่มีชุมชนเป็นเจ้าของสถานีหรือเป็นเจ้าของคลื่นก็มิใช่เรื่องไกลเกินฝัน
(3) ตัวอย่างกิจกรรมเพื่อเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน
จากบทเรียนการทำวิทยุชุมชนที่ผ่านมา มีการค้นคว้าสร้างสรรค์กิจกรรมหลายรูปแบบเพื่อส่งเสริมการมีส่นร่วมของประชาชนดังตัวอย่างต่อไปนี้
· กิจกรรมการเปิดตัววิทยุชุมชน
เมื่อปี พ.ศ. 2544 วิทยุชุมชนของคนโคราชได้จัดงานเปิดตัวโครงการวิทยุชุมชนของคนโคราชอย่างเป็นทางการ เพื่อแนะนำรายการให้เป็นที่รู้จักแก่ประชาชนชาวโคราชทั่วไป ตลอดจนขยายเครือข่ายผู้ฟังและผู้ร่วมผลิตรายการให้มากยิ่งขึ้น ณ สนามศาลากลาง จ.นครราชสีมา ซึ่งมีกิจกรรมให้ความรู้ในรูปของการจัดนิทรรศการด้านต่าง ๆ เช่น ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพ ฯลฯ กิจกรรมด้านบันเทิง มีทั้งการแสดงดนตรี ขบวนกลองยาว ฯลฯ การให้บริการ อาทิการตรวจสุขภาพฟรี ซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และกิจกรรมออกร้านและจำหน่ายผลผลิตกลุ่มแม่บ้านเกษตร
ผลของการจัดงานเปิดตัวดังกล่าวประสบผลสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากมีคนเข้าร่วมกิจกรรมและร่วมชมงานเป็นจำนวนมาก กิจกรรมดังกล่าวทำให้สาธารณชนมีโอกาสได้รู้จักกับวิทยุชุมชน
· กิจกรรมวิทยุสัญจร (ดูรายละเอียดในกรณีศึกษาวิทยุชุมชนของคนโคราช)
อีกกิจกรรมหนึ่งที่นับว่าเป็นการประชาสัมพันธ์และเปิดโอกาสให้คนมาเข้าร่วมกิจกรรมของวิทยุชุมชน รวมทั้งเป็นการขยายเครือข่ายผู้สนใจออกไป คือการจัดวิทยุชุมชนสัญจร อันเป็นการจัดรายการนอกสถานที่ของวิทยุชุมชน โดยมีการนำอุปกรณ์สำหรับการส่งกระจายเสียงไปติดตั้งชั่วคราว ณ สถานที่จัดกิจกรรม อาทิ หมู่บ้าน ตำบล โรงเรียนต่าง ๆ เพื่อถ่ายทอดรายการออกอากาศในเวลาของวิทยุชุมชน
กิจกรรมของวิทยุสัญจรนี้เท่ากับได้เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้สนใจงานวิทยุได้สัมผัสกับวิธีการจัดทำวิทยุอย่างใกล้ชิด เพราะได้เห็น “เบื้องหลังการถ่ายทำ” ของงานวิทยุ
· กิจกรรมขยายเครือข่ายผ่านงานประชาสัมพันธ์
ข้อเสนอแนะของกลุ่มวิทยุชุมชนปัตตานีเกี่ยวกับการขยายการมีส่วนร่วมของประชาชนก็คือ การขยายเครือข่ายโดยใช้รูปแบบการประชาสัมพันธ์แบบต่าง ๆ เช่น รถแห่ สปอตประชาสัมพันธ์ แผ่นพับ และใบปลิว รวมทั้งอาจมีการใส่หมายเลขเอาไว้ที่แผ่นพับเพื่อจับสลากชิงรางวัล ซึ่งเป็นการดึงดูดความสนใจด้วยวิธีการแบบของชาวบ้าน
· กิจกรรมการจัดนิทรรศการ
ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่จะขยายความเข้าใจ และดึงดูความสนใจให้คนทั่วไปเข้ามาร่วมในงานวิทยุชุมชน การจัดนิทรรศการนั้นอาจจะถือโอกาสเข้าไปร่วมจัดในงานประเพณีต่างๆ ของจังหวัดหรือชุมชน เช่น งานกาชาดจังหวัด งานเทศกาลต่าง ๆ ซึ่งการจัดนิทรรศการดังกล่าวนั้นสามารถจะสร้างสรรค์เนื้อหาที่น่าสนใจ ทั้งที่เป็นเนื้อหาแบบนิ่ง ๆ เช่นการจัดบอร์ดนิทรรศการแนะนำว่าวิทยุชุมชนอะไร รวมทั้งเนื้อหาที่วิ่งได้เคลื่อนไหว เช่น การเปิดโอกาสให้เยาวชนได้มาทดลองจัดรายการร่วมกับผู้จัดรายการจริง ๆ เป็นต้น
1.6.3 การบริหารจัดการงบประมาณ
(1) ความสำคัญของงบประมาณ
ในการจัดทำสื่อกระจายเสียงซึ่งมีลักษณะเป็นสื่อมวลชนประเภทหนึ่งนั้น จะต้องมีลักษณะแบบเหรียญ 2 ด้านอยู่เสมอ คือทั้งด้านที่ทำเพื่อสาธารณะประโยชน์และด้านที่เป็นธุรกิจ
ด้านที่ทำเพื่อสาธารณะประโยชน์ |
ด้านที่เป็นธุรกิจ
|
ทั้งนี้เนื่องจากการจัดทำรายการวิทยุนั้น ต้องมีค่าใช้จ่ายในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการว่าจ้างเจ้าหน้าที่ การติดต่อประสานงาน ค่าอุปกรณ์เครื่องมือและการซ่อมแซม ค่าสถานที่ ค่าไฟฟ้าน้ำประปา ฯลฯ ดังนั้น ความจำเป็นในเรื่องงบประมาณจึงเกิดขึ้น
(2) หลักการของการบริหารจัดการงบประมาณของวิทยุชุมชน
(i) แต่ถึงแม้วิทยุชุมชนจะต้องมีลักษณะทั้ง 2 ด้านดังที่กล่าวมาแล้ว และในด้านหนึ่งวิทยุชุมชนจะต้องสามารถบริหารจัดการเรื่องงบประมาณให้สำเร็จลุล่วงได้ มิฉะนั้น ชีวิตของวิทยุชุมชนก็คงต้องจบสิ้นลงเมื่อหมดสิ้นงบประมาณ ดังที่ปรากฏขึ้นแล้วในหลาย ๆ แห่ง แม้กระนั้นในอีกด้านหนึ่งเป้าหมายหลักของการทำวิทยุชุมชนก็ต้องชัดเจนว่า ต้องไม่ใช่การแสวงหากำไรที่เป็นตัวเงิน (แม้จะทำธุรกิจก็ตาม) การบริหารจัดการเรื่องงบประมาณ กระทำไปเพียงเพื่อให้พอเลี้ยงตัวได้ มิใช่หวังกำไรเป็นตัวเงิน
(ii) ต้องกระจายแหล่งรายได้ให้มาจากหลายแห่ง เพื่อป้องกันการพึ่งพาแหล่งรายได้เพียงอันใดอันหนึ่งและรักษาความเป็นอิสระของวิทยุชุมชนในทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น สถานีวิทยุชุมชน KANU ในรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา มีการกระจายแหล่งรายได้จากหลาย ๆ แหล่งคือ
· จากเงินอุดหนุนของรัฐ 17%
· จากค่าธรรมเนียมสมาชิกรายปี ประมาณ 65%
· จากโฆษณา 10%
· ที่เหลือเป็นรายได้จากการระดมทุน
(iii) ในการรับเงินทุนสนับสนุน/งบประมาณจากแหล่งใด ๆ ก็ตาม จะต้องเป็น การรับอย่างไม่มีเงื่อนไขแลกเปลี่ยน ที่จะทำให้เบี่ยงเบนไปจากหลักการของวิทยุชุมชน และจำเป็นต้องมีการวางหลักเกณฑ์เพื่อควบคุมการปฏิบัติดังกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หลักเกณฑ์เรื่องการรับเงินโฆษณาสินค้าจากบริษัทห้างร้าน สามารถทำได้ แต่ให้มีสปอตสั้น ๆ เพียงกล่าวคำขอบคุณและระบุชื่อสินค้านั้นเพียง 1 ประโยค เป็นต้น
(iv) ต้องมีการบริหารจัดการงบประมาณที่มีระบบระเบียบชัดเจน โดยมีการจัดทำระบบบัญชีรับจ่าย มีระเบียบการเบิกจ่าย เป็นระบบงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ มีการบันทึก โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นต้น การดำเนินงานการบริหารจัดการที่มีระบบเช่นนี้เป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นมากยิ่งขึ้น เมื่อวิธีการหารายได้บางวิธีมาจากการบริจาค ซึ่งจำเป็นต้องสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อทำให้ผู้บริจาคไว้วางใจว่า ได้ใช้เงินไปตามเจตน์จำนงของผู้บริจาค และควรมีระบบการป้อนข้อมูลกลับ (feedback) เช่น การรายงานผลย้อนกลับไปสู่ผู้บริจาคว่า ได้ใช้จ่ายเงินดังกล่าวไปสำหรับกิจกรรมใดบ้าง
(3) ข้อเสนอแนะเรื่องการแสวงหางบประมาณ
ปัจจุบันนี้ วิทยุชุมชนที่เป็นโครงการทดลองของกรมประชาสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่ ยังคงพึ่งพางบประมาณจากกรมฯ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นงบประมาณที่ไม่เพียงพอและไม่สม่ำเสมอต่อเนื่อง ดังนั้น ในงานวิจัยเรื่องวิทยุชุมชนหลายชิ้นจึงให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีการแสวงหางบประมาณสำหรัยวิทยุชุมชนดังนี้
(i) มาจากหน่วยงานรัฐส่วนกลางในหลายรูปแบบ เช่น
· ยกเว้นค่าเช่าสถานีให้แก่รายการวิทยุชุมชน
· เนื่องจากรัฐได้แบ่งให้มีการจัดสรรคลื่น 40% ให้แก่ภาคเอกชนนำไปหารายได้และจ่ายเงินในรูปของสัมปทานหรือรูปแบบอื่น ๆ คืนให้แก่รัฐ รัฐจึงควรแบ่งรายได้ส่วนนี้มาอุดหนุนวิทยุชุมชน โดยอาจจัดตั้งเป็นกองทุนสวัสดิการวิทยุชุมชน เป็นต้น
(ii) มาจากหน่วยงานท้องถิ่น
ปัจจุบันมีการกระจายนโยบายการคลังและการจัดเก็บเงินรายได้ลงไปให้หน่วยงานในท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ดังนั้น ควรให้หน่วยงานเหล่านี้สนับสนุนงบประมาณแก่วิทยุชุมชน
(iii) มาจากการโฆษณาของภาคธุรกิจเอกชนโดยมีการกำหนดมาตรการและหลักเกณฑ์ดังที่ได้เสนอมาแล้ว
(iv) มาจากแหล่งเงินทุนขององค์กรความช่วยเหลือที่ไม่หวังผลกำไร ตัวอย่างเช่น วิทยุชุมชนจังหวัดปัตตานี ซึ่งเคยได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนทางสังคม (SIF) และวางแผนจะเขียนโครงการของทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น และสหประชาชาติ เป็นต้น
(v) หาวิธีการหารายได้ด้วยตนเอง เช่น วิทยุชุมชนจังหวัดปัตตานีนำเสนอวิธีการหารายได้เข้ากลุ่ม เช่น
· จัดทำเสื้อกลุ่มและจัดขาย
· การขายสินค้าในงานเทศกาล
· การทำปากกาและของที่ระลึกในนามของกลุ่มออกขาย
(vi) ใช้รูปแบบทางประเพณีและวัฒนธรรมมาระดมทุนทางสังคม เช่น การจัดงานทอดกฐิน/ผ้าป่าเพื่อก่อตั้งกองทุนวิทยุชุมชน
ตัวอย่างของวิธีการแสวงหารายได้ที่นำเสนอมานี้ จะเกี่ยวโยงสัมพันธ์กับ “การมีส่วนร่วมของประชาชน” กล่าวคือ หากสามารถดำเนินการเรื่องการระดมการมีส่วนร่วมของประชาชนได้สำเร็จมากเท่าใด ก็จะยิ่งแก้ปัญหาเรื่องงบประมาณได้มากเท่านั้น
1.6.4 การติดตั้งกลไกการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
ความสำคัญ/หลักการของการประเมินผล |
การเข้าถึง/ความสนใจของผู้ฟัง
|
ประเมินผลรายการ
|
ประเมินบทบาท/หน้าที่
|
ประเมินการมีส่วนร่วม
|
มิติการประเมินผล
|
(1) ความสำคัญและหลักการที่เกี่ยวกับการประเมินผล
เมื่อใดที่เรายิงธนูออกจากแหล่ง แล้วไม่มีการติดตามไปดูผล เราก็ไม่มีทางทราบว่า ลูกธนูนั้นเข้าเป้าหรือไม่ และเมื่อไม่ทราบว่าการยิงไปนั้นถูกเป้าหรือเปล่า เราก็ไม่มีทางรู้อีกต่อไปว่า จะต้องย้อนกลับมาปรับปรุงการยิงหรือไม่ อย่างไร
การประเมินผลงานจึงเป็นกลไกสำคัญส่วนหนึ่งในการพัฒนางาน สำหรับงานวิทยุชุมชนนั้น ควรมีหลักการเกี่ยวกับการประเมินผลดังนี้
· มีการติดตั้งกลไกประเมินผลเอาไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน โดยมีการกำหนดทั้งตัวบุคคล กิจกรรม และระยะเวลาที่แน่นอน เพื่อเป็นหลักประกันว่า จะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่ดีก็เช่น วิทยุชุมชนบุรีรัมย์ ซึ่งได้จัดให้มีการประเมินผลการทำงานหลังจากที่ออกอากาศไปได้ 3 เดือนแรก เพื่อนำผลการประเมินมาปรับปรุง/พัฒนาการทำงาน
· ใช้รูปแบบการประเมินผลอย่างหลากหลาย เช่น การสัมภาษณ์ผู้ฟัง การใช้แบบสอบถาม/สำรวจขนาดกว้าง ฯลฯ ดังจะได้แสดงรายละเอียดในตอนต่อไป
· วางแผนให้มีทั้งรูปแบบการประเมินผลแบบเป็นประจำและแบบตามโอกาส เป็นการประเมินทั้งจากภายในองค์กรเองและจากหน่วยงาน/บุคคลภายนอก เพื่อตรวจสอบกัน รูปแบบการประเมินผลแบบเป็นประจำก็เช่น การวางแผนงานเอาไว้ว่า จะต้องมีการประเมินผลการรับฟังทุก 3 เดือน 6 เดือน เป็นการดำเนินการขององค์กรเอง และในบางโอกาสอาจจะจัดให้มีหน่วยงานภายนอกมาประเมินผลภาพโดยรวม ตัวอย่างเช่น วิทยุชุมชนจังหวัดสงขลาที่ได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 7 ปี ก็ได้มีการวิจัยประเมินผลการทำงานที่ผ่านมาจากบุคคลภายนอก เป็นต้น
· การประเมินผลนั้นไม่ควรมีเป้าหมายที่จะจับผิดหรือโจมตีใคร รวมทั้งไม่ควรมุ่งเน้นแต่เรื่องความสำเร็จ/ความล้มเหลวจนหน้ามืดตามัว เราควรมีข้อคิดว่า “ที่ใดมีการทำงาน ที่นั่นย่อมมีการล้มเหลว/ผิดพลาด และอาจจะเป็นใครก็ได้ที่ทำผิดเช่นนั้น” การประเมินผลนั้น ควรมีเข็มมุ่งอยู่ที่ “กระบวนการเรียนรู้” และการนำมาสู่ “การแก้ไขปรับปรุง/หรือพัฒนาให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ”
(2) มิติของการประเมินผล
เป็นการตอบคำถามว่า เราจะประเมินผลในแง่มุมใดบ้าง สำหรับกรณีวิทยุชุมชนนั้น จากประสบการณ์งานวิทยุชุมชนที่ผ่านมาของไทย พบว่ามีการประเมินผลใน 4 แง่มุมด้วยกันคือ
(i) การประเมินผลการเข้าถึงและความสนใจในการรับฟังของผู้ฟัง
(ii) การประเมินผลรายการ
(iii) การประเมินมิติการมีส่วนร่วมในวิทยุชุมชนในระดับต่าง ๆ
(iv) การประเมินผลการทำบทบาทหน้าที่ของวิทยุชุมชน
(i) การประเมินผลการเข้าถึงและความสนใจในการรับฟังของผู้ฟัง
เป็นมิติแรกของการประเมินเพราะหากผู้ฟังไม่สามารถเข้าถึงวิทยุชุมชนได้ เช่น รัศมีการส่งไปไม่ถึง หรือสัญญาณเสียงไม่ชัดเจน หรือหากไม่ใช่เหตุผลเชิงเทคนิคแต่เป็นเรื่องความไม่น่าสนใจชวนให้ติดตามรับฟังของรายการ หากวิทยุชุมชนไม่สามารถฝ่าด่าน 2 ด่านนี้ได้ มิติอื่น ๆ ก็คงไม่ต้องไปพูดถึง
วิธีการประเมินผลคุณภาพและความสนใจในการรับฟังนี้ โดยปกติแล้วมักจะใช้วิธีการสำรวจประกอบการใช้แบบสองถามหรือการสัมภาษณ์ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยวิทยุชุมชนจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์ของอาจารย์วีรพงษ์ และคณะ ที่ได้กล่าวไปแล้ว ประเด็นที่ทีมวิจัยได้ซักถามครอบคุลมเนื้อหาดังนี้คือ
· มีการเปิดรับฟังหรือไม่ ฟังแบบใด ช่วงเวลาไหน รายการอะไร
· แรงจูงใจที่เปิดรับฟัง
· มีความพึงพอใจหรือไม่ พอใจรายการอะไร รูปแบบรายการ/เนื้อหาที่ชอบ
· ได้ใช้ประโยชน์อะไรบ้างจากวิทยุชุมชน
· มีความต้องการอะไรบ้างจากวิทยุชุมชน
(ii) การประเมินผลรายการ
ในขณะที่การประเมินผลการเข้าถึงและความสนใจรับฟังนั้น เป็นการประเมินภาพโดยรวมของวิทยุชุมชนทั้งหมด แต่ในกรณีที่วิทยุชุมชนนั้นมีหลายรายการ ก็อาจจะมีการประเมินผลเจาะลงมาที่รายการแต่ละรายการเป็นพิเศษ โดยอาจมีเป้าหมายที่จะเพิ่ม/ลด/ตัดรายการหรือมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนารายการ
ประเด็น/หัวข้อที่จะประเมินรายการอาจจะครอบคลุมเนื้อหาดังนี้
· ความเหมาะสมของช่วงเวลา
· ความสั้นยาว/ความพอดีของเวลารายการ
· เนื้อหารายการ (ประโยชน์/ความน่าสนใจ/ความเหมาะสม/ยากง่าย ฯลฯ)
· ผู้ดำเนินรายการ (การพูด/ความเป็นกันเอง/ภาษาที่ใช้/ ฯลฯ)
· แขกรับเชิญ/วิทยากร
· จังหวะในการนำเสนอเนื้อหา
· เพลงที่ใช้ในรายกร
ฯลฯ
สำหรับวิธีการประเมินผลรายการก็ยังคงจะใช้วิธีการสำรวจด้วยการสัมภาษณ์หรือใช้แบบสอบถาม และหากต้องการข้อมูลที่ลึกซึ้งหลากหลายมากขึ้น ก็อาจจะใช้วิธีการสนทนากลุ่มด้วยการจัดสถานการณ์ให้ผู้ฟังหลาย ๆ คนมานั่งสนทนากันตามหัวข้อที่ผู้ประเมินตั้งเอาไว้
(iii) การประเมินมิติการมีส่วนร่วมในวิทยุชุมชนในระดับต่าง ๆ
เนื่องจากหัวใจสำคัญของวิทยุชุมชนคือ การมีส่วนร่วมของชุมชนในระดับต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ดังนั้นจึงต้องมีการประเมินผลการมีส่วนร่วมในระดับต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ตัวอย่างเช่น
· การประเมินผลการมีส่วนร่วมในระดับผู้ฟัง หัวข้อคำถามที่ใช้จะเป็นไป ตามเรื่องการมีส่วนร่วมที่ได้กล่าวมาแล้ว เช่น
- ร่วมฟังอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
- ร่วมแจ้งข่าวสาร
- ร่วมเสนอประเด็น
- ร่วมร้องทุกข์
- ร่วมเวทีสัญจร
- ร่วมโทรศัพท์เข้ามาในรายการ/วัตถุประสงค์ของการโทรเข้ามา
- ร่วมเขียนจดหมายติชม/เสนอรายการ
ฯลฯ
· การประเมินผลการมีส่วนร่วมในระดับผู้ผลิต หัวข้อคำถามก็เช่น
- เคยเข้ามาเป็นผู้ร่วมจัดรายการ
- เคยเข้ามาเป็นแขกรับเชิญ
- เคยเป็นแหล่งข้อมูล
ฯลฯ
· การประเมินผลการมีส่วนร่วมในระดับผู้บริหาร หัวข้อคำถามก็เช่น
- ความกระตือรือร้นในการทำงาน
- ความรับผิดชอบในการทำงาน
- ความสม่ำเสมอในการเข้าประชุม
ฯลฯ
วิธีการใช้ในการเก็บข้อมูลอาจจะใช้หลาย ๆ วิธีประกอบกัน เช่น
· การใช้แบบสำรวจ/แบบสอบถาม/แบบสัมภาษณ์
· การดูบันทึกเอกสาร เช่น อัตราการโทรศัพท์เข้ามา บันทึกรายงานผลประชุมของคณะกรรมการบริหาร
· การสังเกตการณ์ เช่น เข้าสังเกตการณ์การจัดการรายการ การประชุมของคณะทำงาน เป็นต้น
(iv) การประเมินผลการทำบทบาทหน้าที่ของวิทยุชุมชน
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า วิทยุชุมชนนั้นเกิดขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่หลัก 2 ประการคือ การเป็นสื่อประชาธิปไตยเพื่อสร้างสรรค์ประชาธิปไตยในสังคม และการเป็นเครื่องมือหนุนช่วยการพัฒนาสังคมในมิติต่าง ๆ ดังนั้นจึงต้องมีการประเมินผลการทำหน้าที่บทบาทของวิทยุชุมชนว่าเป็นไปตามหลักการหรือไม่
ในงานวิจัยวิทยุชุมชนจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์ได้มีการประเมินบทบาทของวิทยุชุมชนเอาไว้อย่างละเอียดโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหารายการที่ออกอากาศไปแล้ว และตั้งเกณฑ์การแสดงบทบาทเอาไว้ (ดูรายละเอียดในหัวข้อ “หน้าที่และประโยชน์ของวิทยุชุมชน”) เช่น
· บทบาทตามทิศทางการไหลของข่าวสาร
- ในแนวดิ่ง มีทิศทางคือ
- จากบนลงล่าง เป็นการถ่ายทอดข่าวสารจากรัฐไปสู่ประชาชน
- จากล่างขึ้นบน เป็นการถ่ายทอดข่าวสารจากประชาชนไปสู่รัฐ
- ในแนวนอน คือการติดต่อส่งข่าวสารระหว่างประชาชนด้วยกัน
· บทบาทการพัฒนาชุมชนในด้านต่าง ๆ
- บทบาทเสริมพลังทางเศรษฐกิจ
- บทบาทในการจับตาดูการเมืองระดับท้องถิ่น
- บทบาทในการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม
ฯลฯ
ผลจากการวิเคราะห์เนื้อหารายการได้ให้ภาพที่ชัดเจนอย่างมากว่า วิทยุชุมชนยังคงเล่นบทบาทหนักไปทางด้านการส่งข่าวสารแนวดิ่งจากบนลงล่าง โดยมีสัดส่วนรายการประเภทนี้ถึงเกือบครึ่งหนึ่ง 42%และมีเพียง 3% เท่านั้นที่เป็นการสื่อสารแนวนอนระหว่างประชาชน ซึ่งเท่ากับว่าวิทยุชุมชนยังไม่ได้เล่นบทบาทที่โดดเด่นแตกต่างไปจากวิทยุสาธารณะที่เคยมีมา การรับทราบผลจากการประเมินเช่นนี้ ช่วยให้ทิศทางในการหันกลับมาปรับปรุงพัฒนาเนื้อหาและรูปแบบรายการได้อย่างดี
นอกเหนือจากวิธีการวิเคราะห์เนื้อหารายการ ซึ่งเป็นวิธีการที่ให้ผลอย่างแน่นอนในการประเมินผลเรื่องบทบาทหน้าที่แล้ว อาจจะใช้วิธีการสำรวจ/สัมภาษณ์/ซักถามผู้ฟัง – ผู้ผลิตรายการ/คณะผู้บริหารวิทยุชุมชนประกอบด้วยก็ได้
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|