มูลนิธิเสียงธรรมเพื่อประชาชน

You are here: หน้าหลัก ข่าวสารมูลนิธิเสียงธรรมฯ แถลงการณ์ที่ ๕ ชี้แจงความจริงกรณี พ.อ.นที ให้ข่าวบิดผันความจริง

แถลงการณ์ที่ ๕ ชี้แจงความจริงกรณี พ.อ.นที ให้ข่าวบิดผันความจริง

อีเมล พิมพ์ PDF

 

แถลงการณ์ฉบับที่ ๕
เรื่อง ชี้แจงความจริงกรณี พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ให้ข่าวบิดผันความจริง
 
          ด้วยมีข่าวไม่ตรงความจริงปรากฏทางสื่อมวลชนบางแห่ง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ มูลนิธิเสียงธรรมฯ จึงขอชี้แจงความจริง ดังนี้
๑. ตามที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. และประธาน กสท. ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ประกาศเรื่องหลักเกณฑ์การอนุญาตทดลองประกอบการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ.2555 เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา บังคับให้ผู้ประกอบการวิทยุรายใหม่และรายเดิมต้องลดกำลังส่งเหลือ 500 วัตต์ ลดความสูงเสาลงเหลือ 60 เมตร และลดรัศมีกระจายเสียงเหลือ 20 กม.ว่า กติกาดังกล่าวที่ออกมา เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม การที่มูลนิธิเสียงธรรมต้องการให้ กสทช.เขียนกฎกติกาใดกติกาหนึ่งขึ้นมาเอื้อผู้ประกอบการเพียงกลุ่มเดียว ขอยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ กสทช.ทำให้ไม่ได้ เพราะต้องเคารพกติกาสังคมที่ใช้ร่วมกับคนหมู่มาก นั้น
มูลนิธิเสียงธรรมฯ ขอเรียนว่า คำกล่าวเช่นนี้เป็นการบิดเบือน
ความจริงก็คือว่า ประกาศหลักเกณฑ์ 19 กันยายน2555 ใช้บังคับเฉพาะกับผู้ประกอบการวิทยุรายใหม่เท่านั้นให้ลดกำลังส่ง ลดความสูงเสา ลดรัศมีกระจายเสียง แต่ไม่บังคับใช้กติกาดังกล่าวกับผู้ประกอบการรายเดิมแต่อย่างใด จึงเป็นกฎเกณฑ์ที่ กสทช. จงใจเขียนขึ้นมาเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการรายเดิมเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น นับว่าเป็นการเลือกปฏิบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน  และยังไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอีกด้วย เพราะคลื่นรายเดิมเหล่านี้ส่วนใหญ่กว่า ๙๐% เป็นคลื่นบันเทิงเพื่อแสวงหากำไรแทบทั้งสิ้น สาระประโยชน์ที่จะบังเกิดขึ้นแก่ประชาชนมีน้อยมาก มูลนิธิเสียงธรรมฯ จึงไม่อาจยอมรับในกติกาดังกล่าวนี้ได้
แต่หาก กสทช. บังคับใช้กฎกติกาดังกล่าวกับผู้ประกอบการวิทยุรายใหม่และรายเดิมอย่างเสมอภาคเมื่อใด มูลนิธิเสียงธรรมฯ จะยอมรับในทันที เพราะเป็นกฎกติกาที่เป็นธรรม และยังส่งผลให้การเผยแผ่ธรรมะของผู้ประกอบการรายใหม่ทุกกลุ่มมิใช่มูลนิธิเสียงธรรมฯ เพียงกลุ่มเดียว ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ ๔๐๐ สถานีทั่วประเทศ วิทยุเหล่านี้ไม่แสวงหากำไรทางธุรกิจ มีเจตนาเพื่อลดความฟุ้งเฟ้อและส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมแก่คนไทย จึงเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง
 
๒.      ตามที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กล่าวว่า "การที่พระสงฆ์ 2,200 รูป จะคว่ำบาตรผม ผมคงไม่จำเป็นต้องหาทางออกแก้ปัญหานี้แต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าผมไม่เคารพพวกท่าน แต่ทุกคนจำเป็นต้องอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน จะให้ใครมีสิทธิเหนือคนอื่นไม่ได้ เนื่องจากกติกานี้เป็นกติกาเดียวกับที่ใช้กำกับวิทยุชุมชนที่มีอยู่ในประเทศไทยกว่า 7,000 สถานี หากคนใดคนหนึ่งมีสิทธิพิเศษจะทำให้คนอื่นๆ ไม่พอใจ จนเกิดความวุ่นวายได้"นั้น
มูลนิธิเสียงธรรมฯ ขอเรียนว่า คำกล่าวนี้เป็นการบิดผันความจริง ยังความเสื่อมเสียแก่สงฆ์อีกครั้งหนึ่ง
ความจริงก็คือว่า พระสงฆ์ 2,200 รูป เคารพความเป็นธรรมและความเสมอภาค การออกประกาศของ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ทำให้ผู้ประกอบการรายเดิมมีสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่นๆ ในสังคมจนเกิดความวุ่นวายไม่เพียงแต่ประชาชนเท่านั้น ยังลุกลามบานปลายไปถึงพระสงฆ์และพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ นับเป็นกรรมหนักอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา เพราะบรรดาทานทั้งปวงไม่มีทานใดมีผลานิสงส์เลิศเท่าธรรมทาน ดังนั้น การลิดรอนธรรมทานให้คับแคบลง จึงเป็นวิบากกรรมที่หนักมีผลในทางตรงกันข้าม และการบิดเบือนข้อมูลให้ประชาชนหลงผิดทำให้เขาเหล่านั้นต้องมีอกุศลในจิต นึกติเตียนพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่มาร่วมประชุม 2,200 รูป และที่มิได้มาแต่ได้มอบฉันทะแก่สงฆ์อีกนับหมื่นรูปเช่นนี้ การกล่าวหาสงฆ์โดยบิดผันความจริงให้ผู้บริโภคข่าวสารรู้สึกรังเกียจสงฆ์เช่นนี้ จัดเป็นกรรมที่หนักมากเช่นกันในอีกลักษณะหนึ่ง
 
๓. ส่วนที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กล่าวว่า “หากกลุ่มของมูลนิธิเสียงธรรมจะฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าว ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลก็จำเป็นต้องเข้าไปจัดการทางใดทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มอื่นๆ  ที่ยังต่อต้านกฎกติกากำกับวิทยุชุมชนอยู่ ก็คือ กลุ่มผู้ประกอบการวิทยุชุมชนรายใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้มาขอรับอนุญาตทดลองประกอบกิจการจาก กสทช. ราว 500 สถานี ในเบื้องต้นผู้ประกอบการในกลุ่มผู้ไม่มีใบอนุญาตที่ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์นี้จะโดนโทษปรับ 2 แสนบาท ตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 และหากยังพบกระทำอีกค่าปรับอาจเพิ่มขึ้นไปถึง 5 ล้านบาทได้”
มูลนิธิเสียงธรรมฯ ขอเรียนว่า มูลนิธิเสียงธรรมฯ เป็นเพียงองค์กรภาคประชาชนองค์กรหนึ่งที่เคารพบูชาและพร้อมปฏิบัติตามมติสงฆ์ ซึ่งยึดถือพระธรรมวินัยเหนือสิ่งอื่นใดและยอมเสียสละได้ไม่เพียงทรัพย์สินเท่านั้น แม้ชีวิตก็เสียสละได้เพื่อรักษาธรรม
หาก กสทช. ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างแท้จริงย่อมไม่มีวันขัดต่อธรรม แต่เพราะ กสทช. ฝ่าฝืนทั้งกฎหมายทางโลกและฝ่าฝืนทั้งพระวินัยทางธรรมเช่นนี้ สงฆ์ย่อมไม่อาจยอมรับได้ และหาก กสทช. ไม่นำโทษความผิดที่ตนเองพอกพูนหนักขึ้นดังกล่าวไปพิจารณาทบทวนปรับปรุงแก้ไข และยังลุแก่อำนาจเสาะหาวิธีการเข้าจัดการมูลนิธิเสียงธรรมฯ ที่ตั้งใจบำเพ็ญเพื่อประโยชน์สาธารณะตลอดมาให้กระทบกระเทือนไปโดยวิธีหนึ่งวิธีใดจนเกิดความเสียหายนั้น
มูลนิธิเสียงธรรมฯ ขอเรียนว่า มูลนิธิเสียงธรรมฯ ไม่มีอำนาจวาสนาใดๆ เทียมเท่า กสทช. เพราะเป็นเพียงองค์กรเล็กๆ การกระจายเสียงมาจากปัจจัยบริจาคของประชาชนผู้รักเคารพธรรม จึงไม่มีกำลังและอำนาจเทียบเท่า กสทช. ที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีงบประมาณและรายได้จำนวนมหาศาล  อย่างไรก็ตาม มูลนิธิเสียงธรรมฯ เชื่ออย่างมั่นคงในคำสอนขององค์หลวงตาที่กล่าวยืนยันธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า บาปมีจริง บุญมีจริง นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
จึงขอแถลงการณ์มาให้ทราบโดยทั่วกัน
 
มูลนิธิเสียงธรรมเพื่อประชาชนฯ
๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕